Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

น้ำหอมที่ฟาโรห์หญิงผู้ยิ่งใหญ่ ของอาณาจักรอียิปต์โบราณ มีกลิ่นอย่างไร?



น้ำหอมที่ฟาโรห์หญิงผู้ยิ่งใหญ่ ของอาณาจักรอียิปต์โบราณ มีกลิ่นอย่างไร?

ฟาโรห์หญิง Hatshepsut ผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอียิปต์โบราณ เป็นกษัตริยาองค์หนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักทั่วโลก และแม้พระองค์จะปกครองอาณาจักรดังเช่นฟาโรห์ชายอกสามศอกทั่วไป แต่นิสัยของผู้หญิงที่ชมชอบของสวยๆงามๆ และกลิ่นหอมๆ ก็ยังมีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อนักวิทยาศาสตร์ทำงานเสร็จสมบูรณ์ ผู้คนทั่วโลกอาจจะได้มีโอกาสดมกลิ่นน้ำหอมโบราณอายุหลายพันปีของกษัตริยาฟาโรห์ Hatshepsut ผู้ปกครองอาณาจักรอียิปต์ในช่วง 1500 ปีก่อนคริสตกาล โดยคณะนักวิจัยจากพิพิธภัณฑ์อียิปต์มหาวิทยาลัย Bonn ในเยอรมันนี เพิ่งจะค้นพบซากตกค้างที่เชื่อว่า เป็นเศษน้ำหอมแห้งที่ก้นไหโลหะใบหนึ่ง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า เป็นไหใส่น้ำหอมของฟาโรห์หญิง Hatshepsut ขั้นต่อไปก็คือการพยายามสร้างกลิ่นน้ำหอมจากซากเหล่านั้น ซึ่งนักวิจัยเดาว่าเป็นกลิ่นไม้หอมราคาแพง แบบเดียวกับที่ประเทศโซมาเลียส่งออกอยู่ในปัจจุบัน และหากทำได้จริง จะเป็นครั้งแรกที่ผู้คนทั่วโลกได้มีโอกาสดมกลิ่นน้ำหอมของฟาโรห์หญิงผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ หลังจากที่พระองค์สวรรคตไปแล้วราว 3,500 ปี

ฟาโรห์ Hatshepsut ขึ้นครองราชย์ปกครองอียิปต์ หลังจากฟาโรห์ Thutmose ที่ 2 สามีของพระองค์สวรรคตลง และไม่มีผู้สืบราชบัลลังก์ผู้ชายเหลืออยู่ พระองค์ปกครองอาณาจักรอยู่ถึง 20 ปี ซึ่งว่ากันว่าเป็นช่วงที่อาณาจักรอียิปต์รุ่งเรือง และมีความสงบมากยุคหนึ่ง พระองค์ทรงใช้วิธีการปกครองอย่างชาย ทั้งยังทรงพยายามพัฒนาการค้า และสร้างความมั่งคั่งให้แก่อียิปต์โบราณ

หัวหน้าผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์อียิปต์มหาวิทยาลัย Bonn อธิบายว่าเครื่องหอมแบบที่ฟาโรห์หญิงพระองค์นี้ใช้ มีราคาแพงมากในสมัยนั้น และมักจะใช้ในวิหารเทพและสำหรับกษัตริย์เท่านั้น ในขณะที่การประพรมน้ำหอมตามตัว ก็เป็นสิ่งที่สตรีชั้นสูงในยุคอียิปต์โบราณกระทำอยู่เป็นประจำ

ดูเหมือนความหลงใหลในเครื่องหอมของฟาโรห์หญิง Hatshepsut จะเชื่อมโยงกับความปรารถนาของพระองค์ ที่ต้องการแผ่ขยายอำนาจออกไป ทั้งงานจิตรกรรมและปะติมากรรมหลายชิ้นของฟาโรห์หญิง Hatshepsut ต่างแสดงให้เห็นลักษณะการแต่งกายที่ดูเหมือนฟาโรห์ชาย และบางชิ้นยังเห็นภาพพระองค์มีหนวดเคราอีกด้วย ซึ่งนักวิจัยด้านอียิปต์วิทยาเชื่อว่า การที่พระองค์ทรงสวมเสื้อผ้า และเครื่องประดับรวมทั้งน้ำหอมราคาแพง เป็นวิธีหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ปกครองอันยิ่งใหญ่สูงสุดของอียิปต์สมัยนั้น

นักอียิปต์วิทยาพิสูจน์ซากมัมมี่ และระบุว่าเป็นฟาโรห์หญิง Hatshepsut สำเร็จเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ด้วยการใช้วิธีตรวจรหัสพันธุกรรมและพิสูจน์ฟัน ซึ่งนับเป็นสมาชิกราชวงศ์อียิปต์โบราณองค์ที่ 2 ที่สามารถระบุซากมัมมี่ได้ นับตั้งแต่มัมมี่ของกษัตริย์ฟาโรห์ตุตันคาเมนเมื่อปี 1922 หรือ 87 ปีที่แล้ว

มดในเขตทุ่งหญ้าสะวันนาของอาฟริกาปกป้องต้นไม้จากช้าง




มดในเขตทุ่งหญ้าสะวันนาของอาฟริกาปกป้องต้นไม้จากช้าง

มดในเขตทุ่งหญ้าสะวันนาของอาฟริกาปกป้องต้นไม้จากช้าง
มดในเขตทุ่งหญ้าสะวันนาของอาฟริกาปกป้องต้นไม้จากช้าง

มดตัวเล็กๆ ในเขตทุ่งหญ้าสะวันนาของเคนย่า สามารถป้องกันต้นไม้ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของตนไม่ให้ถูกช้างอาฟริกันทำลาย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่านี่เป็นการรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ทุ่งหญ้าสะวันนาอีกทางหนึ่ง

ศาสตราจารย์ด้านชีววิทยา Todd Palmer แห่งมหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดา สังเกตุเห็นว่าต้น Acacia ในเขตทุ่งหญ้าสะวันนาของเคนย่าต้นไหนที่มีมดอาศัยอยู่ ช้างอาฟริกันจะไม่กินหรือแทบจะไม่แตะต้นไม้ต้นนั้นเลย และแม้ไม่เห็นตัวมด แค่ได้กลิ่น ช้างตัวใหญ่ๆก็ยังไม่อยากจะยุ่งเกี่ยว แม้ว่าต้นไม้นั้นจะเป็นอาหารโปรดของช้างแค่ไหนก็ตาม

ศาสตราจารย์ Palmer พบว่าต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลแถบนั้นซึ่งไม่มีมดปกปักรักษา มักจะถูกช้างกินและฉีกทึ้งทำลาย ยกเว้นแต่ต้นที่อยู่ในเขตดินร่วนสีดำซึ่งมีมดทำรังอยู่จำนวนมาก จากการทดสอบนักวิทยาศาสตร์ผู้นี้เชื่อว่า ไม่ใช่เพราะช้างอาฟริกันไม่ชอบกินต้น Acacia แต่อาจเป็นเพราะไม่อยากเผชิญกับมดจำนวนมากรุมไต่ไปตามงวงและกัด โดยงวงช้างนั้นแม้ดูภายนอกจะหนาแข็งแรง แต่ภายในกลับนุ่มและละเอียดอ่อน เมื่อโดนกัดจึงสร้างความปวดแสบปวดร้อนต่อช้างเจ้าของงวงยาวนั้นได้ง่ายๆ ศาสตราจารย์ Palmer บอกว่าหากมีลูกช้างที่ไม่ประสาพยายามกินใบไม้นั้น จะถูกฝูงมดไต่ตามงวงและกัดเอาจนต้องคิดว่า จะไม่ทำอย่างนั้นอีกเด็ดขาด

ปัจจุบันประชากรช้างทั่วอาฟริกากำลังลดลง แต่ในพื้นที่ทุ่งหญ้าสะวันนาบริเวณที่ราบสูงตอนกลางของเคนย่านั้นมีจำนวนช้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ โดยจำนวนช้างที่เพิ่มขึ้นหมายถึงความเสี่ยงที่จำนวนต้นไม้จะลดลง ศาสตราจารย์ Palmer กล่าวว่าต้นไม้ในเขตทุ่งหญ้าสะวันนามีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศน์และจำเป็นต้องได้รับการปกปักรักษา

นักชีววิทยาผู้นี้ระบุว่า จำนวนต้นไม้ในระบบนิเวศน์ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อวงจรอาหาร วงจรน้ำ และวงจรตามธรรมชาติอื่นๆในสะวันนา ดังนั้นการมีปัจจัยควบคุมสมดุลระหว่างต้นไม้กับทุ่งหญ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ปัจจัยต่างๆที่ว่านี้รวมถึง ไฟป่า น้ำฝน สภาพดิน และพฤติกรรมของบรรดาสัตว์กินพืช ดังนั้น การที่มดช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ใหญ่อย่างช้างทำลายต้นไม้จึงมีส่วนสำคัญต่อสมดุลของระบบนิเวศน์เช่นกัน อย่างน้อยก็จนกว่าช้างจะคิดได้ว่า ต้นไม้บางต้นที่มีกลิ่นมดติดอยู่นั้น อาจไม่มีมดจริงๆอาศัยอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งยังต้องมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต่อไปในเรื่องนี้

ภาพถ่ายดาวเทียมระหว่างปี คศ.2003-2008 แสดงให้เห็นว่าต้น Acacia ที่มีมดอาศัยอยู่นั้นกำลังแพร่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว ศาสตราจารย์ Palmer สรุปไว้ในรายงานที่ตีพิมพ์อยู่ในวารสาร Current Biology ว่าการค้นพบครั้งนี้อาจช่วยในการปกป้องระบบนิเวศน์ของทุ่งหญ้าสะวันนาทั่วโลกได้

บ่อน้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติก Grand Prismatic Spring

บ่อน้ำพุร้อนแกรนด์เมติก
เป็นบ่อนำพุร้อนที่สวยงามเหมือนหลุดออกมาจากเทพนิยาย
     
บ่อน้ำพุร้อนแกรนด์พรีสเมติก เป็น
บ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน สหรัฐอเมริกา 

ซึ่งสีสันที่แบ่งเฉดเป็นสีน้ำเงินตรงกลางบ่อและสีส้มที่ขอบบ่อนี้เองที่ทำให้สถานที่แห่งนี้งดงามราวกับอยู่ในเทพนิยาย จนไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกนี้ 

โดยนักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายถึงการแบ่งเฉดสีของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ว่า ขอบบ่อที่เป็นสีส้มนั้นเกิดขึ้นจากแบคทีเรียที่เจริญเติบโตอย่างหนาแน่นบริเวณขอบบ่อ 

เนื่องจากภายในบ่อนั้นอุดมไปด้วยแร่ธาตุและมีอุณหภูมิที่เหมาะสมนั่นเอง


“Virgin Rainbow” (อัญมณี-โอปอล) ที่หายากและขึ้นชื่อว่าสวยที่สุด (มีชิ้นเดียวในโลก)


“Virgin Rainbow” (เวอร์จิ้น เรนโบว์) คือแร่โอปอลที่หายากและแพงที่สุดในโลก ความพิเศษคือสามารถเรืองแสงเป็นสีรุ้งได้ ถูกพบที่ Coober Pedy ทางตอนใต้ของออสเตรเลีย เมื่อปี 2003 โดยคนงานเหมืองชื่อ จอห์น ดันส์แตน ซึ่งมันถูกซื้อไปในราคาสูงถึง 33 ล้านบาท ตอนนี้จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Southern Australia

โดย Virgin Rainbow เป็นอัญมณีที่เกิดจากซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ “เบเลมนิทิดา” (Belemnitida) ประเภทเซฟาโรพอด ที่มีชีวิตอยู่ในยุคมีโซโซอิก (ประมาณ 251-65 ล้านปีก่อน) เดิมทีในช่วงเวลานั้นทางตอนใต้ของออสเตรเลียถูกปกคลุมด้วยมหาสมุทร ดังนั้นสิ่งมีชีวิตที่ตายส่วนมากจึงถูกปกคลุมด้วยตะกอนแร่ธาตุหลายล้านปี จนกระทั่งฟอสซิลเหล่านั้นถูกแร่ธาตุปกคลุมและฝั่งตัวแทรกไปยังโมเลกุลจนกลายเป็นอัญมณีโอปอลในที่สุด

ความพิเศษของ Virgin Rainbow คือสีที่ส่องประกายออกมาเป็นสีรุ่ง มีตั้งแต่สีขาวนม ไปจนถึงแดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ชมพู ดำ ฯลฯ ต่างจากโอปอลชนิดอื่น ที่จะมีไม่กี่สีเท่านั้น โดยโอปอลที่มีลักษณะพิเศษแบบนี้เพิ่งถูกค้นพบเพียงชิ้นนี้ชิ้นเดียวเท่านั้น ทำให้มันกลายเป็นที่ต้องการของนักสะสมทั่วโลก จึงไม่แปลกที่มันจะมีมูลค่าสูงขนาดนั้น

จอห์น ดันส์แตน กล่าวกับสำนักข่าว ABC ของออสเตรเลียว่า “ตอนแรกฉันพบมันซ่อนตัวอยู่ในก้อนทรายที่ถูกปกคลุมหนาแน่น แต่หลังจากทำความสะอาด เราก็ได้พบกับอัญมณีล้ำค่า มันส่องสว่างโดดเด่นมากอย่างไม่น่าเชื่อ แถมยิ่งเวลาอยู่ในที่มืดมันยิ่งสว่าง ฉันทำงานนี้มานานกว่า 50 ปี นี่เป็นอัญมณีที่สวยที่สุดเท่าที่เคยพบมา”

การเรืองแสงของโอปอลเกิดจากปรากฏการณ์ Play of Color เกิดจากการเรียงตัวอย่างเป็นระเบียบและสม่ำเสมอของช่องว่างอนุภาคซิลิกาและน้ำ (เรียกว่า Hydrated Silica Sphere) ทำให้แสงสามารถลอดผ่านช่องว่างนั้นได้ – ท่าให้เกิดการแทรกสอดและ การเลี้ยวเบนของแสง (Diffraction) – จนปรากฏเป็นสีสันต่าง ๆ ออกมานั่นเอง

ดันแคน แมคลาเเรน เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวของเขต Coober Pedy กล่าวว่า “การจัดแสดง Virgin Rainbow ในครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และการที่พิพิธภัณฑ์รับซื้อมาในมูลค่าสูงขนาดนั้น ก็เพื่อให้ผู้คนเห็นถึงมูลค่าของอัญมณีชิ้นนี้ อีกทั้งเพื่อกระตุ้นให้ผู้คนที่สนใจ อยากออกตามหา Virgin Rainbow ชิ้นที่ 2”

เพิ่มเติม – 95-97% ของโอปอลทั้งหมดบนโลก มาจากทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย   อีกทั้งโอปอลยังถือเป็นอัญมณีประจำชาติด้วย ทั้งนี้ Virgin Rainbow ยังไม่ใช่โอปอลที่แพงที่สุดในโลก แต่คือ Olympic Australis แร่โอปอลที่ไม่ถูกเจียรไน มีขนาดยาว 11 นิ้ว หนา 4 นิ้ว หนัก 3.4 กิโลกรัม นับว่าเป็นโอปอลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา และถูกตีมูลค่าสูงถึง 84 ล้านบาท

– เคยสงสัยหรือไม่ว่า..ในช่วงเวลาเฉียดตาย หรือเวลาคับขัน เราสามารถยกตู้เย็น ทีวี หรือของหนัก ๆ ที่ปกติไม่สามารถยกได้ได้อย่างไร ? คำตอบ : สิ่งนั้นเรียกว่า “hysterical Strength” เป็นอาการของร่างกายที่หลั่งอะดรีนาลีนออกมา 100% หรือก็คืองัดพลังที่แท้จริงออกมาได้ เราพลังที่แท้จริงของมนุษย์มันแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ถึงขั้นสามารถชกกำแพงให้เป็นรูแบบในอะนิเมะได้เลยหรือเปล่า ? สามารถหาคำตอบต่อได้ในหนังสือ Flagfrog Damn! ครับ (ราคา 279 บาท ช่องทางสั่งซื้ออยู่ที่ใต้คอมเมนต์นะครับ)

มะดันพืชแห่งที่ราบลุ่ม

มะดัน
มะดันในฐานะผัก
มะดัน เป็นพืชที่ให้รสเปรี้ยว ใช้ในการปรุงรสอาหารไทยมากกว่าใช้เป็นผักโดยตรง ส่วนที่นำมาใช้ปรุงคือใบอ่อนและผล ส่วนผลมีรสเปรี้ยวจัดใช้แทนมะนาวได้ดี เช่น ตำน้ำพริกต่างๆ โดยเฉพาะน้ำพริกพริกไทยอ่อน น้ำพริกลงเรือ น้ำพริกทรงเครื่อง น้ำพริกหมูสับกากหมู เป็นต้น นอกจากนั้นก็ใส่ในแกงที่ต้องการความเปรี้ยว เช่น แกงส้ม ต่างๆ และต้มยำ สำหรับ ใบอ่อนมะดันซึ่งมีรสเปรี้ยวเหมือนกันแต่น้อยกว่าผล ใช้ใส่แกงส้มได้เช่นเดียวกับผล และใช้ในการดองเปรี้ยวผัก เช่น ผักบุ้ง ผักเสี้ยน เป็นต้น....


วันนี้จะขอแนะนำสูตรน้ำพริกมะดันผัด
เครื่องปรุง
มะดันอ่อน-เนื้อ- กุ้งแห้ง- พริกแห้ง- กระเทียม -กะปิดี -พริกขี้หนู -
พริกเหลือง-น้ำมัน- น้ำตาลปึก น้ำปลา 
วิธีทำ
หั่นมะดันอ่อนทั้งเม็ดขวางลูก คั้นเอาน้ำออก ตำพริกแห้ง กุ้งแห้ง กะปิ พริกขี้หนู กระเทียม พอละเอียดดี

เอามะดันที่คั้นเอาไว้ใส่ลงไป ชิมรสให้ครบ 3 รส แล้วตักจากครกใส่กระทะ ผัดกับน้ำมันแล้วเอาเนื้อที่สับไว้ผัดรวม
ลงไปด้วย...
ชิมรสอีกทีให้กลมกล่อมทั้ง 3 รส
เอาพริกเหลืองทั้งเม็ดลงไปผัด แล้วตักขึ้นทันที เป็นใช้ได้

ของกินแกล้ม
เนื้อเค็ม ปลาช่อนแห้ง ปลาสลิด ไข่เจียวจะกินกับข้าวตังทอดหรือปิ้งก็ได้ กันกับขนมปังก็ได้ใช้คลุกข้าว ไม่ต้องกินกับผักสด


น่าสังเกตว่า อาหารไทยหลายชนิดต้องการรสเปรี้ยว ซึ่งคนไทยใช้พืชหลายชนิด เช่น มะนาว มะม่วง มะอึก มะดัน มะขาม ฯลฯ ซึ่งใช้แทนกันได้ แต่หากต้องการรสชาติเฉพาะแล้ว แต่ละชนิดจะให้ความเปรี้ยวที่แตกต่างกัน เป็นความหลากหลายที่ทำให้อาหารไทยมีความพิเศษไม่ซ้ำซากจำเจ แม้แต่ในพืชชนิดเดียวกัน เช่น มะนาว คนไทยก็ยังเลือกมะนาวพื้นบ้านที่น้ำหอมกลิ่นมะนาว และไม่ชอบมะนาวบางชนิด
(เช่น มะนาวตาฮิติหรือมะนาวควาย) เพราะรสและกลิ่นไม่ดีเท่ามะนาวพื้นบ้านนั่นเอง

ประโยชน์ด้านอื่นๆของมะดัน
แพทย์แผนไทยใช้มะดันประกอบเป็นยาสมุนไพรได้หลายขนาน ในตำราสรรพคุณสมุนไพร 
บรรยายสรรพคุณไว้ดังนี้           
รก ใบ : รสเปรี้ยว แก้กระษัย แก้ระดูเสีย ขับฟอกเลือด ระบายอ่อนๆ แก้เสมหะในลำคอ ขับปัสสาวะ        
ลูก : รสเปรี้ยว แก้ไอ แก้เสมหะ แก้น้ำลายเหนียว ขับปัสสาวะ ฟอกเลือด ใช้ปรุงอาหาร       
ใบ รก ลูก : ปรุงเป็นยาดองเปรี้ยวเค็ม ฟอกเสมหะ แก้ประจำเดือนพิการ แก้ไอ      

ผลมะดันนำมาดองน้ำเกลือ กินแก้น้ำลายเหนียว เป็นเมือกในลำคอ         
นอกจากใช้เป็นยาแล้ว ผลมะดันยังนิยมใช้เป็นของหวาน โดยนำมาดอง แช่อิ่ม หรือเชื่อม เป็นผลไม้ดองยอดนิยมชนิดหนึ่งของคนไทยในปัจจุบัน
     
เนื่องจากมะดันเป็นไม้ทนน้ำท่วมขังดีที่สุดชนิดหนึ่ง จึงเหมาะสำหรับปลูกในบริเวณที่อาจเกิดน้ำท่วม โดยเฉพาะภาคกลางหรือเขตกรุงเทพมหานคร เพราะตัดปัญหาถูกน้ำท่วมตายได้แน่นอน นอกจากนั้นทรงพุ่มมะดันยังงดงามใช้เป็นไม้ประดับสถานที่ได้ดี ปัจจุบันมะดันส่วนใหญ่เกิดจากการเพาะเมล็ด จึงมีความแตกต่างหลากหลายสูง บางต้นผลโตและดกกว่าปกติ บางต้นก็ออกผลปีละหลายครั้งต่างจากปกติที่มักออกผลปีละครั้งเดียว หากมีการคัดเลือกอย่างจริงจังก็จะได้พันธุ์มะดันที่มีคุณสมบัติพิเศษดียิ่ง ขึ้นกว่าปัจจุบัน(เช่นเดียวกับมะกอกน้ำที่พัฒนาไปก่อนแล้ว) 

ซึ่งจะทำให้มะดันเป็นที่นิยมปลูกกันมากขึ้น ประโยชน์แท้จริงที่คนไทยได้รับจะมีมากกว่าการนิยมปลูกไม้ผลที่มาจากต่าง ประเทศ ดังเช่น กระบองเพชรบางชนิดที่เรียกว่าแก้วมังกร เป็นต้น


มะดัน : พืชแห่งที่ราบลุ่ม 
เมื่อผู้เขียนยังเป็นเด็กอาศัยอยู่ ที่บ้านริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน เขตอำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ ๔๐ ปีก่อนโน้น จำได้ว่าระหว่างเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายนจะมีน้ำจากภาค เหนือเอ่อท่วมตลิ่งและไร่นาแทบทุกปี (ดังคำกล่าวในท้องถิ่นว่า “เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรง”) น้ำจะเริ่มลดลงตั้งแต่เดือนธันวาคม-มกราคม(“ถึงเดือนอ้ายเดือนยี่ น้ำก็ปรี่ไหลลง”) ระหว่างที่น้ำท่วมอยู่นั้นกระแสน้ำจะพัดพาผลไม้บางชนิดมาตามผิวน้ำด้วยหลาย ชนิด 

เนื่องจากผลไม้ดังกล่าวเกิดจากต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ และออกผลแก่จัดจนร่วงหล่นลงในฤดูน้ำหลากพอดี ผลไม้ดังกล่าวนั้นมีหลายชนิด บางชนิดก็กินได้ เช่น มะกอกน้ำและมะดัน เป็นต้น ในวัยเด็กรู้สึกว่าผลไม้ที่ลอยตามน้ำมานั้นเอร็ดอร่อยเหลือเกิน ผลมะกอกน้ำจะมีมาก และหาได้ง่ายกว่าผลมะดัน นานๆครั้งจึงจะเก็บผลมะดันได้ เมื่อได้ผลมะดันก็มักจะนำไปให้ผู้ใหญ่ทำกับข้าวหรือดองเสียก่อน เพราะเปรี้ยวจัดกว่ามะกอกน้ำมาก
  
จนผู้เขียนโตขึ้นจึงทราบว่าทั้ง มะกอกน้ำและมะดันเป็นพืชพื้นบ้านที่ขึ้นเองตามริมฝั่งแม่น้ำท่าจีน ผลแก่ที่ร่วงหล่นลอยตามน้ำนั้นเป็นวิธีขยายพันธุ์ตามธรรมชาติของพืชทั้ง ๒ ชนิด เมื่อลอยไปติดอยู่ที่ใด และน้ำแห้งลงก็จะงอกขึ้นเป็นต้นใหม่ได้ นอกจากนั้นทั้งมะกอกน้ำและมะดันยังเป็นพืชที่ชอบความชื้น ทนต่อความแฉะและน้ำท่วมขังได้เป็นเวลานาน ซึ่งคงเกิดจากการปรับตัวให้เข้ากับสภาพน้ำท่วมขังของพื้นที่ราบ เช่น ภาคกลางของประเทศไทยนั่นเอง
           
เชื่อว่าแหล่งกำเนิดดั้งเดิมของมะดัน อยู่ในเขตที่ราบลุ่มของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมประเทศไทยด้วยนั่นเอง ชาวไทยที่อยู่บริเวณภาคกลาง และลุ่มน้ำภาคใต้จึงคุ้นเคยกับมะดันมากกว่าชาวไทยที่อยู่บริเวณที่สูงน้ำ ท่วมไม่ถึง (มะดันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia schomburgkiana Pierre. อยู่ในวงศ์ Guttiferae นับว่ามะดันเป็นญาติใกล้ชิดกับมังคุดเป็นอย่างยิ่ง เพราะอยู่ในวงศ์และสกุลเดียวกัน (สกุล Garcinia) แต่แปลกที่ผลมะดันกับมังคุดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งรสชาติด้วย (เนื้อมังคุดหวานสนิทไม่เปรี้ยวเลย ส่วนมะดันเปรี้ยวบริสุทธิ์ไม่เจือหวานเลย)
        
มะดันเป็นไม้ยืนต้นขนาด กลาง สูง ๔-๕ เมตร ใบหนาทึบเขียวเข้ม ด้านบนใบเข้มเป็นมัน ไม่มีขน เป็นใบเดี่ยวรูปไข่ปลายแหลม กว้างราว ๖ เซนติเมตร ยาวราว ๑๒ เซนติเมตร ดอกขนาดเล็กออกตามกิ่ง กลีบรองดอกสีเหลืองอมขาว กลีบดอกสีชมพู เกสรสีเหลือง ผลทรงกระบอกยาว ปลายแหลม ยาวราว ๖ เซนติเมตร ผิวบางเรียบสีเขียวฉ่ำน้ำ เป็นมันภายในมีเมล็ด ๓-๖ เมล็ด ยาวตามผล หากเมล็ดใดลีบผลด้านนั้นจะเบี้ยวงอบางต้นมีกิ่งเล็กๆไม่มีใบอยู่รวมกันเป็นกระจุก เรียกว่า รกมะดัน
เรียบเรียงข้อมูลโดย musa

ข้อดีของการ รับประทาน ผลอินทผาลัม





ปกติแล้วมุสลิมจะละศีลอดด้วยการกินอินทผาลัมท่านเราะซู้ล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)เคยกล่าวในทำนอง
ที่ว่า"หากในหมู่สูเจ้ามีผู้ถือศีลอดเขาจงละศีลอดด้วยอินทผาลัมเถิด หากไม่มีมัน (อินทผาลัม)
จงดื่มน้ำ แท้จริงน้ำนั้นเป็นสิ่งช่วยชำระร่างกาย"
ท่านเราะซู้ล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)เคยละศีลอดด้วยอินทผาลัม
ก่อนที่ท่านจะละหมาดมัฆริบ

บางรายงานเล่าว่า หากไม่มีอินทผาลัมสุก ท่านจะจิบน้ำ 2-3 จิบ ด้านศาสตร์ร่วมสมัยพิสูจน์ให้ประจักษ์แล้วว่า
อินทผาลัมเป็นอาหารเพื่อสุขภาพซึ่งประกอบไปด้วยน้ำตาล ไขมัน โปรตีนต่างๆและวิตามินที่สำคัญอีกหลายชนิดสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ท่านเราะซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)ได้แนะนำ

อินทผาลัมยังมีสายใยอาหารอีกหลายชนิดแพทย์แผนปัจจุบันค้นพบว่าอินทผาลัมมีส่วนช่วยในการป้องกันจากโรคมะเร็งในช่องท้องอย่างมีประสิทธิภาพ
อินทผาลัมยังเป็นผลไม้ที่คุณประโยชน์ด้านโภชนาการเหนือผลไม้นานาชนิด

ซึ่งส่วนประกอบด้วยน้ำมัน แคลเซียม ซัลเฟอร์ เหล็ก โพเทสเซียม ฟอสฟอรัส แมงกานีส คอพเปอร์ และแมกนีเซียม อาจกล่าวได้ว่า

อินทผาลัมเป็นผลไม้ที่ให้ประโยชน์ทางอาหารชาวอาหรับมักจะกินอินทผาลัม
ร่วมกับนมโยเกิร์ตหรือขนมปัง เนยและปลา การร่วมกันดังกล่าวถือเป็นการกินอาหารที่เพียงพอสำหรับสมองและร่างกาย 

อินทผาลัมถูกกล่าวในอัลกุรอาน 20 ครั้งด้วยกัน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของมัน

ท่านเราะซู้ล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)มักจะเปรียบเทียบมุสลิม
ดั่งต้นอินทผาลัม ท่านกล่าวว่า "ในบรรดาต้นไม้นั้น มีต้นไม้ชนิดเดียวที่คล้ายคลึงกับมุสลิม นั่นก็คือ ต้นอินทผาลัม ซึ่งใบของมันจะไม่ร่วง"

พระนางมัรยัม มารดาแห่งเยซู 
(ท่านนบีอีซา อะลัยฮิสสลาม)ได้รับประทานอินทผาลัมเป็นอาหารเมื่อรู้สึกปวดเมื่อยจาการทำงานและช่วงมีครรภ์ 

ดังนั้น อินทผาลัมเป็นอาหารสุดยอดแห่งความหวาน ย่อยสะลายได้ง่าย แค่ใช้เวลา 30 นาที ร่างกายก็จะกลับมากระชุ่มกระชวยอีกครานึง เหตุผลก็คือ การที่เลือดขาดสารน้ำตาลจึงทำให้รู้สึกหิวและจะไม่ทำให้ท้องว่างเมื่อทานอินทผาลัม ร่างกายจะได้รับสารอาหารสัมคัญแม้กินแค่ 2-3 เม็ด ความรู้สึกหิวจะทุเลาลง เมื่อคน ๆ หนึ่งละศีลอดด้วยการกินอินทผา
ลัมก่อนการรับประทานอาหารอื่น ๆ เขาก็จะรับประทานอาหารนั้นน้อยลงเพราะสารอาหารจากอินทผาลัมมีส่วนช่วยในการลดความอยากอาหารได้

จากการทดลองพบว่า อินทผาลัมประกอบไปด้วยสารที่ตระตุ้นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อในมดลูกสำหรับสตรีตั้งครรภ์ก่อนคลอด 1เดือน เพราะมันจะช่วยให้ปากมดลูกขยายเมื่อคลอด และยังลดการหลั่งเลือดในขณะคลอดอีกด้วย (สตรีจะต้องรีบทานเลยน่ะ - ผู้แปล)

นักโภชนาการเห็นว่าอินทผาลัมเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับสตรีช่วงตั้งครรภ์และสตรีให้นมบุตร เนื่องจากอินทผาลัมมีส่วนประกอบที่ช่วยในการลดความกดดันของแม่ และเพิ่มน้ำนม และยังช่วยให้ทารกนั้นได้รับสารอาหารนั้นด้วยในการต่อต้านโรคาท่านเราะซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)เน้นย้ำถึงความสำคัญของอินททผาลัม และการมีส่วนช่วยเสริมสุขภาพทารกในครรภ์
ได้อย่างมีประสิทธภาพ

*ท่านเราะซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)ส่งเสริมให้สตรีรับประทาน ทางด้านสถาบันด้านโภชนา ได้แนะนำเด็กๆรับประทานอินทผาลัมเพื่อลดอาการทางประสาท

*ท่านเราะซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) ยังแนะนำว่า อินทผาลัมเป็นยาทางใจอีกด้วย
ด้านศาสตร์ปัจจุบันรายงานว่า สารอาหารในอินทผาลัมสามารถป้องกันจากโรคาทางระบบทางหายใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
   
*อินทผาลัมประกอบไปด้วยสารอาหารทางวิตามิน และแร่ต่างๆเมื่อร่างกายได้รับสารเหล่านั้นหลอดเลือดจะนำสารอาหารไปล่อเลี้ยงจนระดับการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้นและส่งผลให้เพิ่มสมรรถภาพในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพราะอินทผาลัมยังประกอบไปด้วยสารแคลเซียมที่พิ่มความแข็งแรงของกระดูกทั้งกระดูกอ่อน
ในเด็กและผู้ใหญ่

*อินทผาลัมยังช่วยบำรุงรักษาสายตาในยามค่ำคืนได้อย่างดี ในยุคแรก ๆ นักรบมุสลิมมักพกอินทผาลัมใส่ในกระเป๋า
แบบย่ามในการรบ เพราะมันสามารถช่วยในการชูกำลังวังชาได้เป็นอย่างดีเชียวแหละ

ว่ากันว่าท่านเราะซู้ล(ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เคยรับประทานอินทผาลัมกับขนมปังในบางครั้ง ลางทีท่านเราะซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)ผสมกับแตงกวาหรือไม่ก็น้ำมันเนย

ท่านเราะซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) รับประทานอินทผาลัมหลากหลายชนิดแต่ที่ท่านเราะซู้ล (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) โปรดปรานนั้น คงจะเป็นอินทผาลัมชนิด "عَجْوَة (อัจญวะฮ์ - อินทผาลัมชนิดดีเยี่ยม)" ที่มาจากนครมะดีนะฮ์มุเนาวะเราะฮ์...
วัสสลามุอะลัยกุม
จัดทำเรียบเรียงใหม่โดยmanman                                                                                                            


ประโยชน์ของลูกพรุน


ชื่อสามัญ 5 : พรุน (prune)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Prunus domestica
ตระกูล : Rosaceae

ข้อมูลทั่วไป 1
พรุนมีถิ่นกำเนิดอยู่ในจีน ญี่ปุ่น อเมริกา และขึ้นได้ดีในอีกหลายประเทศ มีหลายสายพันธุ์ แต่ที่หาซื้อได้ง่ายจะเป็นลูกพรุนสีแดงดำ เมื่อแห้งแล้วจะมีสีออกดำ รสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน ลูกพรุนเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายเป็นจำนวนมาก เป็นที่รู้จัก และนิยมนำมารับประทานกันเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะประเทศในแถบยุโรป และในอเมริกาเหนือ ลักษณะที่นำมารับประทานมีทั้งรับประทานเป็นผลสด นำมาตากแห้ง ทำเป็นน้ำพรุน และนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหาร
ส่วนที่ใช้ : ผล
ส่วนประกอบที่มีคุณประโยชน์ของลูกพรุนสกัด
- วิตามิน อี เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยในการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดง ทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น ช่วยบำรุงสายตา
- แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างกระดูก และฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้ปกติ
- เหล็ก (Iron) เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง พรุนแห้ง ๑ ขีด มีธาตุเหล็กประมาณ ๒.๗๘ มิลลิกรัม จึงเป็นแหล่งของธาตุเหล็กได้เป็นอย่างดี
- วิตามิน บี2 ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด, กระบวนการสร้าง, ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์, เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยในการมองเห็น ผิวหนัง เล็บ และผม- วิตามิน ซี (Ascorbic Acid) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) และเป็นส่วนประกอบที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย เมื่อเซลล์ถูกทำลาย โอกาสในการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามินซี มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidant ในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้นด้วย และยังมีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดงอีกด้วย

อีกทั้งลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย แถมมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ด้วย คุณสมบัติอื่นๆ ก็คือ สามารถอุ้มน้ำไว้ระหว่างใย จึงทำให้กากอาหารนิ่ม และมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ให้มีการเคลื่อนไหวบีบตัวได้ดีขึ้น จึงทำให้ท้องไม่ผูก อีกอย่างคือ เป็นเส้นใยที่ละลายน้ำได้ จึงทำหน้าที่ไปขัดขวางการดูดซึมของไขมัน และน้ำตาลในเลือด ซึ่งเหมาะกับผู้สูงอายุ ที่เป็นเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ที่อาจเกิดอันตรายได้หากมีการเบ่งอุจจาระแรงๆ

นอกจากนั้นในลูกพรุนมีกากใยธรรมชาติ (Dietary fiber) จำนวนมากหลายชนิด ซึ่งมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ น้ำลูกพรุน แม้จะมีรสหวานแต่ส่วนมากประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิดฟลุคโตส และซอร์บิทอล ซึ่งไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญยังช่วยระบาย และรักษาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งในผู้ใหญ่ และในเด็กเล็ก  1, 2
 
ข้อควรระวังในน้ำลูกพรุน 1
 เนื่องจากน้ำลูกพรุนมีโปแตสเซียมสูง จึงไม่ควรรับประทานในผู้ป่วยโรคไตวาย ระยะหลังที่ได้รับการล้างไต แต่ถ้าไม่ได้เป็นโรคไตชนิดนี้ก็สามารถรับประทานได้ นอกจากนี้น้ำลูกพรุน มีส่วนช่วยระบาย จึงไม่ควรรับประทานเป็นจำนวนมาก เพราะจะทำให้ท้องเสียได้ในบางคน ไม่ควรรับประทานครั้งละมากๆ รับประทานครั้งละ ๑๕-๓๐ ซีซี ต่อคนก็เพียงพอ


น้ำลูกพรุน วิธีทำน้ำลูกพรุน
ส่วนผสม
ลูกพรุน 1 ถ้วยตวง
น้ำเปล่า 8 ถ้วยตวง
น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง
เกลือ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
- ลูกพรุนแกะเมล็ดออก ผสมน้ำนำไปต้มให้เปื่อย
- เอาเนื้อลูกพรุนยีให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ
- ผสมเกลือ น้ำตาลทราย คนให้ละลาย ตั้งไฟให้เดือดอีกครั้ง
- เสิร์ฟเย็นคู่กับน้ำแข็งทุบ

โยเกิร์ตลูกพรุนวิธีทำโยเกิร์ตลูกพรุนส่วนผสม
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ  1กระป๋องน้ำ
ลูกพรุน  1/2  ถ้วย
ลูกพรุน  4-5  เม็ด
วีทเจิร์ม (Wheatjerm) หรือมูสลี่ ตามชอบ   

วิธีทำโยเกิร์ตลูกพรุน

1.แช่ลูกพรุนในน้ำลูกพรุนข้ามคืนไว้
2.ตักโยเกิร์ตใส่ชาม โดยด้วยลูกพรุนและน้ำลูกพรุน โรยต่อด้วยมูสลี่หรือวีทเจิร์ม รับประทานได้ทันที
สุดท้ายตักใส่ถ้วย แล้วก็กิน ตามใจอยาก

รายการบล็อกของฉัน