Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

พบภาพเขียนรูปสัตว์ยักษ์ยุคน้ำแข็งอายุ 12,600 ปี ที่หน้าผาในป่าฝนแอมะซอน


นักโบราณคดีคาดว่าภาพเหล่านี้น่าจะถูกเขียนขึ้นเมื่อราว 11,800-12,600 ปีที่แล้ว

ทีมนักโบราณคดีจากโคลอมเบียและอังกฤษเปิดเผยการค้นพบภาพเขียนรูปสัตว์ยุคก่อนประวัติศาสตร์จำนวนหลายพันภาพบนหน้าผาที่ป่าฝนแอมะซอนในเขตประเทศโคลอมเบีย ซึ่งเผยให้เห็นมนุษย์ยุคแรก ๆ ในแถบนั้นใช้ชีวิตร่วมกับเหล่าสรรพสัตว์ยุคน้ำแข็ง

ศิลปะยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่พบครั้งนี้ปรากฏอยู่บนหน้าผายาว 8 ไมล์ (ราว 12.8 กิโลเมตร) ที่มนุษย์ในยุคนั้นใช้อยู่อาศัย บริเวณตอนเหนือของป่าแอมะซอน นักโบราณคดีคาดว่าภาพเหล่านี้น่าจะถูกเขียนขึ้นเมื่อราว 11,800-12,600 ปีที่แล้วไปจนถึงช่วงปลายยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด

คณะผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโคลอมเบีย มหาวิทยาลัยแอนติโอเกีย และมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ในอังกฤษค้นพบและศึกษาภาพเขียนเหล่านี้มาตั้งแต่ปี 2017 แต่เพิ่งจะเปิดเผยผลการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้

ภาพที่พบเป็นภาพเขียนสีแดงที่ได้จากดินแดงซึ่งเป็นดินเหนียวที่มีเหล็กออกไซด์ผสมอยู่ และมนุษย์โบราณในแถบอเมริกาใต้มักใช้ทำงานฝีมือ งานศิลปะ และใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ

นักวิจัยเชื่อว่าภาพเขียนที่พบจากซ้ายสุด ได้แก่ สลอธยักษ์ (a) ช้างโบราณ "มาสโตดอน" (b) สัตว์ในตระกูลอูฐ (c) ม้ายุคน้ำแข็ง (d และ e) สัตว์มีงวงที่มีกีบเท้า 3 กีบ (f)

โดยภาพเขียนที่พบมีรูปสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น ช้างโบราณ "มาสโตดอน" (mastodon), สลอธยักษ์ (giant sloth), ม้ายุคน้ำแข็ง และสัตว์มีงวงที่มีกีบเท้า 3 กีบ รวมทั้งภาพสัตว์รูปทรงเหมือนงู กวาง และนก

ศิลปะยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่พบครั้งนี้ปรากฏอยู่บนหน้าผายาว 12.8 กิโลเมตร ที่มนุษย์ในยุคนั้นใช้อยู่อาศัย บริเวณตอนเหนือของป่าแอมะซอน

นอกจากนี้ ยังพบภาพทรงเรขาคณิต ภาพรูปทรงมนุษย์ ภาพพิมพ์รูปมือ ตลอดจนภาพการล่าสัตว์

ศาสตราจารย์โฆเซ อิเรียร์เต นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ กล่าวว่า "ภาพเขียนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ล่าและมีชีวิตร่วมกับบรรดาสัตว์ยักษ์ ซึ่งปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้วได้อย่างไร"

ศาสตราจารย์โฆเซ อิเรียร์เต สันนิษฐานว่าภาพนี้อาจเป็นภาพของหญิงมีครรภ์ หรือผู้ชายจับมือกัน

ขณะที่ ดร.มาร์ก โรบินสัน นักวิจัยอีกคนจากมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์ ระบุว่า สิ่งที่พบเผยให้เห็นภาพที่ชัดเจนและน่าตื่นเต้นของชีวิตมนุษย์ยุคแรก ๆ ที่อาศัยอยู่ในแถบตะวันตกของผืนป่าแอมะซอนซึ่งตอนนั้นอยู่ในช่วงที่กำลังเปลี่ยนแปลงมาเป็นป่าฝนเขตร้อนเช่นที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

นักวิจัยบอกว่าภาพนี้แสดงให้เห็นสัตว์คล้ายหมู กวาง หมา สัตว์ตระกูลเสือและแมว และมนุษย์ที่กำลังประกอบพิธีกรรม

เลเซอร์สำรวจ LIDAR เผยอารยธรรมน่าพิศวงแห่งอเมริกากลางก่อนยุคโคลัมบัส


เลเซอร์สำรวจ LIDAR เผยอารยธรรมน่าพิศวงแห่งอเมริกากลางก่อนยุคโคลัมบัส
เทคโนโลยีที่ช่วยในการค้นหาซากอารยธรรมกลางป่าลึก เช่นที่กัมพูชาและภูมิภาคอเมริกากลางในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับเลเซอร์สำรวจ LIDAR ซึ่งในปีนี้ได้สร้างผลงานเด่นอีกเช่นเคย โดยได้ช่วยให้นักโบราณคดีค้นพบซากศาสนสถานอารยธรรมมายาเก่าแก่ที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้

การสแกนด้วยเลเซอร์ทำให้พบโครงสร้างยกพื้นสูงขนาดใหญ่ รวมทั้งพบรูปสลักหมูป่าจากการขุดค้น
ที่มาของภาพ,TAKESHI INOMATA
คำบรรยายภาพ,
การสแกนด้วยเลเซอร์ทำให้พบโครงสร้างยกพื้นสูงขนาดใหญ่ รวมทั้งพบรูปสลักหมูป่าจากการขุดค้น

ร่องรอยของโครงสร้างยกพื้นสูงขนาดใหญ่และแท่นบูชา ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อราวหนึ่งพันปีก่อนคริสตกาล ถูกค้นพบในฟาร์มเลี้ยงวัวแห่งหนึ่งของเมืองทาบาสโก ประเทศเม็กซิโก ตรงบริเวณชายแดนที่ติดต่อกับประเทศกัวเตมาลา

แม้โครงสร้างของวิหารและแท่นประกอบพิธีกรรมนี้จะคล้ายคลึงกับศาสนสถานของชาวโอลเม็ก (Olmec) ซึ่งเป็นผู้สร้างอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอเมริกากลาง แต่ผลวิเคราะห์จากการขุดค้นชี้ว่า ไม่พบร่องรอยการก่อสร้างตามคำสั่งของชนชั้นนำ เช่นรูปสลักของราชาตามแบบอารยธรรมโอลเม็กแต่อย่างใด

นักโบราณคดีพบเพียงรูปสลักหินปูนเป็นตัวหมูป่าในวิหารแห่งนี้ ซึ่งชี้ว่าศาสนสถานดังกล่าวอาจสร้างขึ้นด้วยการร่วมแรงร่วมใจกันของคนในชุมชนมากกว่า อันสะท้อนถึงสภาพสังคมที่ไม่แบ่งแยกชนชั้นมากนักในสมัยนั้น

ภาพสแกนด้วยเลเซอร์เผยให้เห็นการจัดเรียงตัวของหมู่บ้านคล้ายหน้าปัดนาฬิกาหรือดวงอาทิตย์

นอกจากนี้ การยิงเลเซอร์สำรวจ LIDAR จากเฮลิคอปเตอร์ ยังเผยให้เห็นร่องรอยของ "หมู่บ้านเนินดิน" ยุคโบราณ ที่สร้างขึ้นเมื่อราวศตวรรษที่ 13-17 ในป่าแอมะซอนอีกด้วย ซึ่งกลุ่มของหมู่บ้าน 36 แห่งนี้ ซุกซ่อนตัวอยู่ในดงไม้หนาทึบไร้ผู้คนอยู่อาศัย ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐอากรีในประเทศบราซิล

ความพิเศษของกลุ่มหมู่บ้านที่ตั้งรายล้อมเนินดินจำนวนมาก ก็คือการจัดเรียงตัวเป็นวงกลมคล้ายหน้าปัดนาฬิกา โดยมีถนนคู่สองสายออกจากหมู่บ้านทางทิศเหนือและทิศใต้ เพื่อเชื่อมต่อการคมนาคมกับหมู่บ้านใกล้เคียง ซึ่งถนนแบบนี้มองดูคล้ายกับเข็มบอกเวลาของนาฬิกาด้วย

หมู่บ้านบางแห่งมีถนนเชื่อมต่อกับเพื่อนบ้านหลายสาย ทำให้เมื่อมองจากที่สูงลงมาแล้ว จะดูคล้ายกับภาพลายเส้นรูปดวงอาทิตย์ฉายแสงไม่มีผิด
นักโบราณคดีเชื่อว่าการวางโครงสร้างของเครือข่ายหมู่บ้านเช่นนี้ สะท้อนแนวคิดทางจักรวาลวิทยาอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งนำมาใช้เป็นต้นแบบการปกครองสังคมที่ไม่มีลำดับชั้นอย่างชัดเจนของคนพื้นเมืองอเมริกากลาง ในยุคก่อนการมาถึงของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ในช่วงศตวรรษที่ 15

Catacombs of paris สุสานหัวกะโหลกใต้เมืองปารีส

ค้นหา
Custom Search
Catacombs of paris สุสานหัวกะโหลกใต้เมืองปารีส

ลึกลงไปกว่า 20 เมตร ใต้เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นพื้นที่ของสุสาน Catacombs of paris หรือ l’Ossuaire Municipal สุสานขนาดใหญ่ความยาวหลายร้อยกิโลเมตร เต็มไปด้วยซากโครงกระดูก
กว่า 6 ล้านศพ


เดิมทีสุสานแห่งนี้เป็นอุโมงค์เหมืองหินปูนและเส้นทางขนสินค้าเข้าไปในเหมือง โดยการขุดหินปูนเพื่อก่อสร้างอาคารและสถาปัตยกรรมนั้นได้กินคืบเข้ามาใต้เมืองเรื่อยๆ ทำให้เมืองมีการเจริญเติบโตและมีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าเมื่อคนเยอะ คนตายก็เยอะขึ้นเช่นเดียวกัน

โดยเมื่อราวศตวรรษที่ 18 สุสานหลายแห่งในปารีส
รวมถึง Les Innocents สุสานที่ใหญ่ที่สุดในเวลานั้น เริ่มประสบปัญหาพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับศพใหม่ อาทิ การฝังศพที่ไม่ถูกต้อง การเปิดฝาหลุมศพทิ้งไว้ หรือแม้แต่ศพที่ไม่ได้ฝัง ล้วนเป็นปัญหา เมื่อศพเน่าเปื่อยเริ่มส่งกลิ่นเหม็น รวมถึงเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคจนชาวบ้านต้องออกมาร้องเรียน

หลังจากนั้นในปี 1780 ได้เกิดเหตุฝนตกหนักจนกำแพงสุสาน Les Innocents ถล่มลงมา ส่งผลศพที่เน่าเปื่อยไหลออกมาบริเวณข้างเคียง ทางรัฐบาลจึงต้องหาพื้นที่เพิ่มให้กับสุสานใหญ่ๆ จนกระทั่งใน ค.ศ.1786 เจ้าของเหมืองได้อุทิศเหมืองให้ใช้เป็นสุสานแห่งใหม่ จึงมีการขนย้ายศพจากสุสานต่างๆเข้ามา เรียงต่อกันเป็นชั้นสูงจนมีลักษณะคล้ายกำแพง

สุสานแห่งนี้ถูกใช้ต่อเนื่องยาวนานจนถึงปี 1860 จึงปิดรับศพ รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 6 ล้านศพที่ถูก ขนย้ายมาที่แห่งนี้ หลังจากนั้นมันได้ถูกปิดลงนานถึง 7 ปี ก่อนที่รัฐบาลจะกลับมาปรับปรุงให้กลายเป็นสุสานแบบเปิดเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชม


แม้ภายในมีทางเดินยาวลึกกว่า 300 กิโลเมตร แต่ทางการเปิดให้เข้าชมเพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น โดยระบุว่า สุสานมีอยู่เพียงนิดเดียว อย่างไรก็ตามมีผู้คนแอบเข้าไปในพื้นที่ลึกกว่านั้น โดยมีกลุ่มที่เรียกว่า Cataphiles เข้าไปสำรวจท้าทายพื้นที่ บ้างก็อยู่อาศัย หรือมีการจัดกิจกรรมร่วมกัน แม้จะมีการออกกฏหมายห้ามบุกรุกพื้นที่ก็ตาม

โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกลุ่มนักเรียนและวัยรุ่น ซึ่งมีการเริ่มต้นทำแบบนี้กันตั้งแต่ช่วงปี 
1970 – 1980 ในยุคเด็กพังค์ 
ผู้ชอบเรื่องแปลกแหวกแนว เมื่อพวกเขาจัดกิจกรรมที่ชอบไม่ได้และไม่ได้รับการยอมรับ พวกเขาจึงคิดไปจัดกิจกรรมที่อื่น ซึ่งสุสานใต้ดินนั้นก็เป็นที่ที่เหมาะทีเดียว เนื่องจากไม่มีใครอยู่และมีประตูลับอยู่มากมาย


ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่โด่งดังแห่งหนึ่ง สามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามาเสพบรรยากาศหลอนๆ รวมถึงเป็นที่ลองของสำหรับพวกคนชอบความท้าทายและเหล่าคนชอบมนต์ดำ โดยมีการพบเครื่องหมายประหลาดซึ่งไม่เคยมีมาแต่ดั้งเดิม และโครงกระดูกที่ใหม่เกินกว่าจะเป็นศพซึ่งถูกฝังมานานหลายสิบปี


นอกจากนี้ยังมีการเล่าว่า พวกเขาได้ยินเสียงพูดคุยเสียงดังจากมุมที่ไม่มีใครอยู่ บางครั้งก็เหมือนถูกจ้องมอง รู้สึกเหมือนถูกดึงถูกจับ แม้กระทั่งกลับมาบ้านแล้วรู้สึกป่วยก็มี..

ถนนลอมบาร์ดที่ชันและคดเคี้ยวที่สุดในโลก Lombard Street (San Francisco)

ค้นหา
Custom Search
Lombard Street หนึ่งในถนนที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก....
❇ถนนสายนี้ถือเป็นเอกลักษณ์แห่งเมืองซานฟรานซิสโก...
รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริก สร้างขึ้นในปี 1922 ลักษณะเป็นเส้นทางลาดชันเอียง 40 องศา 

มีทั้งหมด 8 โค้งหักศอก ขนาดความยาวเพียง 400 เมตร รถทุกคันถูกจำกัดความเร็วที่ 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น ตลอดเส้นทางจะเต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ เสมือนวิ่งอยู่ในเขาวงกต

ถนนลอมบาร์ด(Lombard Street) เชื่อมระหว่าง ถนนไฮด์ (Hyde) กับ ถนนลีเวนเวิร์ท (Leavenworth) 
ใน เมืองซานฟรานซิสโก 
รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ขึ้นชื่อว่าเป็น ถนน
ที่คดเคี้ยวที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1922 ด้วยเส้นทางลาดชันเอียง 40 องศาประกอบด้วย 8 โค้งหักศอก 

ปูพื้นด้วยอิฐแดงมีความยาวทั้งสิ้น 400 เมตร.....
รถทุกคันถูกจำกัดความเร็วที่ 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น และเป็นวันเวย์ขับลงได้อย่างเดียว ขับขึ้นไม่ได้อย่านึกสนุกไปสวนทางเลยเชียวค่ะ เพราะไม่มีไหล่ทางให้หลบ และกฎเหล็กในการขับรถผ่านเส้นทางนี้คือ ห้ามชะงัก ห้ามจอดหรือหยุดรถระหว่างกำลังวิ่งอยู่บนเส้นทางนี้ เพราะมันจะนำพามาซึ่งอุบัติเหตุนั่นเอง

Lombard Street ตั้งอยู่ใน Russian Hill ในช่วงฤดูใบไม้ผลิจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการมาที่นี่ เพราะว่าต้นไม้ต่างแข่งกันออกดอกแย่งกันโชว์ความงามไปตามถนนที่แสนจะคดเคี้ยวนี้ ถ้าคุณขับรถไปก็อย่าลืมลองขับรถลงถนนเส้นนี้ดูจะได้ไปคุยกับเขาได้ว่าเคยขับรถบนถนนที่คดเคี้ยวที่สุดในโลกมาแล้ว.....

แต่ถ้าไม่มีรถ ก็ไปไม่ยาก แค่ขึ้นรถรางสาย Powell-Hyde ก็จะไปจอดที่หัวถนนพอดิบพอดี คุณจะได้เห็นถนนนี้จากมุมบน แล้วก็ยังได้เห็นวิวของเมืองนี้ที่สวยมาก ๆ อีกมุมหนึ่งด้วย แต่จะให้สวยก็เดินลงไปด้านล่างแล้วถ่ายรูปจากมุมข้างล่างขึ้นมา คุณก็จะเห็นถนนเส้นนี้จะจะ 
ว่าคดขนาดไหน ใครมาเมืองนี้ไม่มาที่นี่ก็ถือว่าไม่ถึงเหมือนกัน
Lombard Street - Lombard Street is called the most crooked or winding street in America.  

you can drive or walk down the one block of Lombard between Hyde and Leavenworth Streets. 

There are 8 sharp turns or switchbacks in this block. 

So if you don't want to drive, take a taxi. The Powell-Hyde cable car line stops at the top of Lombard Street

เผยภาพมุมสูงเห็นภายในเมืองลึกลับใต้ดิน อายุมากกว่า 4,000 ปี

         
ค้นหา
Custom Search
โดรนบันทึกภาพหาชมยาก เผยสภาพภายในเมืองใต้ดินลึกลับของประเทศจีน อายุมากกว่า 4,000 ปี ซึ่งในอดีตมีบ้านมากกว่า 10,000 หลัง ปัจจุบันถือเป็นพื้นที่อนุรักษ์และเป็นมรดกทางวัฒนธรรม 
         
ตามรายงานของเว็บไซต์มิเรอร์ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 ระบุว่า ในพื้นที่แห่งหนึ่งของมณฑลเหอหนาน ทางตอนกลางของประเทศจีน มีหมู่บ้านใต้ดินลึกลับอายุมากกว่า 4,000 ปี ซึ่งในอดีตเคยมีบ้านเรือนมากกว่า 10,000 หลัง 

แต่ปัจจุบันมีผู้คนอยู่ที่นั่นเพียงแค่ราว 3,000 คน บ้านจำนวนหลายหลังถูกทิ้งไว้มาเป็นเวลายาวนาน โดยขณะนี้อยู่ภายใต้การอนุรักษ์และถูกจัดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมโดยทางการจีนเมื่อปี 2554 อีกทั้งทางรัฐบาลท้องถิ่นยังได้ประกาศให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่คุ้มครอง และมีแผนที่จะทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว 

          
พื้นที่ดังกล่าวได้รับการขนานนามว่า เป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่ลึกลับที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศจีน โดยภายในมีสภาพอากาศหนาวเย็น อุณหภูมิประมาณ 10 องศาเซลเซียสในฤดูหนาว และประมาณ 20 องศาเซลเซียสในฤดูร้อน บ้านบางหลังถูกเรียกชื่อว่า Yaodongs 

ซึ่งในอดีตเคยมีบรรพบุรุษอาศัยอยู่มากว่า 6 รุ่น รวมระยะเวลานานกว่า 200 ปี ทั้งนี้ ตามรายงานท้องถิ่นได้เผยว่า เมื่อวันเวลาผ่านไปชาวบ้านหลายคนต่างอพยพย้ายจากภายในถ้ำขึ้นมาอยู่บนพื้นดิน 

         
นอกจากนี้ รายงานยังเผยว่า ภายในพื้นที่ดังกล่าวจะมีลานสนามยาว 10-12 เมตร อยู่ลึกลงไปใต้ดิน 6-7 เมตร โดยมีการขุดปากเป็นถ้ำเป็นแนวเฉียง เพื่อเป็นประตูสำหรับให้ชาวบ้านเข้าไปยังพื้นที่ภายใน ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากมุมสูง
Yaodongs

ประเพณีแปลกๆและเน่าแล้วอร่อย อาหารเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ของอาเซียน


เน่าแล้วอร่อย อาหารเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ของอาเซียน
●เน่าแล้วอร่อย
อาหารเก่าแก่ดึกดำบรรพ์ของอาเซียน

(ซ้าย) โครงปลาช่อนราว 9 ตัว และโครงปลาดุก 3 ตัว บรรจุรวมอยู่ในภาชนะดินเผาบริเวณปลายเท้าของโครงกระดูกมนุษย์ ราว 3,000 ปีมาแล้ว (ขวา) โครงกระดูกมนุษย์
ราว 3,000 ปีมาแล้ว ที่เหนือศีรษะมีภาชนะใส่โครงปลาช่อน 
(ภาพของ รัชนี ทศรัตน์ นักโบราณคดี ผู้ควบคุมการขุดค้น แล้วพบของเหล่านี้)

   กะปิ       
¤เน่าแล้วอร่อย เป็นขบวนการถนอมอาหารไว้กินนานๆ ของคนในอุษาคเนย์ เช่น ปลาแดก, ปลาร้า, น้ำบูดู, กะปิ, น้ำปลา, ผักดอง, ถั่วเน่า
        
เคยมีนักวิชาการตะวันตกศึกษาอาหารหมักดองของอุษาคเนย์แล้วพบว่าขั้นตอนการแปรรูปอาหารประเภทเน่าแล้วอรอ่ย ไม่ต่างจากประเพณีทำศพของคนอุษาคเนย์ทำศพ เป็นประเพณีเก่าแก่ดึกดำบรรพ์สำคัญที่สุดของคนในอุษาคเนย์ เมื่อมีคนตาย ต้องปล่อยศพเน่าโดยเก็บไว้หลายวัน บางทีเป็นเดือนเป็นปี




■ศพเน่า          
ศพเน่า คือส่วนที่เป็นเนื้อหนังหุ้มกระดูกของคนตาย เน่าเปื่อยตามปกติธรรมชาติเมื่อผ่านไปหลายวัน        
○ต่อจากนั้นลอกเนื้อหนังเน่าเปื่อยออก เอากระดูกล้างน้ำ แล้วสาดน้ำล้างกระดูกขึ้นหลังคาเรือนขับไล่ผีร้าย เอากระดูกไปทำพิธีอีกครั้งหนึ่ง เรียกพิธีทำศพครั้งที่ 2 เช่น ใส่ภาชนะดินเผา หรือใส่หม้อไหแล้วฝังอีกครั้งหนึ่ง, ใส่โกศ แล้วเผาบนพระเมรุมาศ       
○เก็บศพเน่า เป็นความเชื่อดั้งเดิมที่สุด ว่าคนตาย ขวัญไม่ตาย แต่ขวัญหายไปด้วย เหตุร้ายอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วจะคืนกลับมาสู่ร่างเดิมไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อขวัญพบทางกลับถูก      
○เครือญาติในชุมชนจึงต้องร่วมกันเป่าปี่ตีฆ้องกลอง สุนกสนานรื่นเริงเป็นมหรสพ คบงันให้สัญญาณแก่ขวัญที่หลงทางกลับคืนสู่ร่างถูกคนกินศพเน่า

☆มีนิทานอย่างน้อย 2 เรื่อง เป็นร่องรอยของคนกินศพเน่า ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นต้นตอของอาหารประเภทเน่าแล้วอร่อย      
○บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ จดนิทาน 2 เรื่องไว้ในหนังสือชาวเขาในไทย (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. 2506)
ว่าด้วยเรื่องละว้า จะคัดมาดังนี้
กบ บรรพชนของคน
○กบยักษ์ 2 ตัวผัวเมีย ผัวชื่อยาถำ เมียชื่อยาไถ่ ทั้งสองจับสัตว์ป่ากินเป็นอาหาร ไม่มีบุตรด้วยกัน ต่อมาย้ายมาอยู่ถ้ำทางใต้ของหนองน้ำนั้น
○วันหนึ่งยาถำจับมนุษย์มาได้คนหนึ่ง เอามากินเป็นอาหารร่วมกับยาไถ่ และเอากะโหลกแขวนไว้ดูเล่น 
○นับตั้งแต่นั้นมายาไถ่ตั้งครรภ์คลอดบุตรออกมาเป็นมนุษย์ผู้ชาย 9 คน ผู้หญิง 9 คน ยาถำกับยาไถ่จึงบูชาหัวกะโหลกมนุษย์ โดยเอากะโหลกมนุษย์ใส่ตะกร้าแขวนไว้บนเสากลางลานบ้าน  
○ถึงแม้จะมีบุตรเป็นมนุษย์แล้วก็ตาม ยาถำกับยาไถ่ยังพอใจจับเอามนุษย์มาเคี้ยวกินเป็นอาหาร เพราะเห็นว่าเนื้อมนุษย์มีรสอร่อยกว่าสัตว์ป่าทุกชนิด  
○ฝ่ายบุตรชายหญิงต่างแต่งงานมีบุตรหลานด้วยกันและแยกย้ายไปอยู่ในหุบเขา 9 แห่ง        
○วันหนึ่งยาถำกับยาไถ่ซึ่งแก่ชรามากแล้วไปดักจับมนุษย์ บังเอิญจับเอาหลานของตนมาฆ่ากินเป็นอาหารบรรดาบุตรชายทั้ง 9 จึงปรึกษาหารือกันว่าบิดามารดาของเรานี้แก่ชรามากแล้ว หูตาก็มืดมัว ทั้งเป็นสัตว์ป่าน่าเกลียดน่ากลัวชอบกินแต่เนื้อมนุษย์ แม้แต่หลานของเราก็ไม่ยอมเว้น สักวันหนึ่งคงจับพวกเรากินเป็นอาหารเป็นแน่แท้ จึงพร้อมใจกันจับเอายาถำกับยาไถ่บิดามารดาของตนมาฆ่ากิน     
○นับตั้งแต่นั้นมาจึงเกิดขนบธรรมเนียมฆ่าบิดามารดาเมื่ออายุมากสืบต่อกันมา เพิ่งมาเลิกเมื่อประมาณ 300 ปีมานี้พร้อมกับการกินเนื้อมนุษย์

■เพื่อเป็นที่ระลึกถึงว่าพวกตนมีต้นตระกูลเป็นกบ จึงนำเอาโลหะมาหล่อทำเป็นรูปกลองทองเหลืองกลมๆ มีรูปกบเกาะอยู่ริมกลอง ใช้ตีในเวลามีงานพิธี กลองชนิดนี้พวกกะเหรี่ยงพวกข่าในประเทศลาวใช้เหมือนกัน พม่าเรียกกลองปะชี แปลว่ากลองกบ ส่วนไทยเราเรียกว่า กลองมโหระทึก       
○รูปกบนี้ยังทำไว้ที่แท่นบูชาของเขาด้วย ในวันขึ้นปีใหม่จะมีการแห่รูปกบไปปล่อยลงในแม่น้ำหรือลำธารเสมอ


ฆ่าตัดหัว       
○พวกละว้า หรือว้าป่าเถื่อนนี้ ยังคงบูชาผีไร่ด้วยศีรษะมนุษย์เป็นประจำทุกปี 
○เล่ากันว่าหัวหน้าชาวละว้าไปซื้อพันธุ์ข้าวจากชาวจีนฮ่อซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ตีนเชิงเขา นำเอาพันธุ์ข้าวนั้นมาปลูกไม่ขึ้น   
○หัวหน้าชาวละว้าโกรธหาว่าพ่อค้าชาวจีนฮ่อเอาพันธุ์ข้าวลวกน้ำร้อนมาขายให้ จึงใช้ลูกน้องของตนไปซื้อพันธุ์ข้าวจากพ่อค้าจีนฮ่อคนนั้นอีก เมื่อซื้อแล้วให้ตัดเอาศีรษะมาด้วย  
○ลูกน้องก็ปฏิบัติตามโดยเอาข้าวใส่ในตะกร้าข้างล่าง ศีรษะชาวจีนฮ่อใส่ข้างบน เมื่อนำมามอบให้แก่หัวหน้าของตน พันธุ์ข้าวนั้นเต็มไปด้วยเลือดและน้ำหนอง เมื่อนำไปปลูกในไร่บังเอิญข้าวนั้นเจริญงอกงามผิดธรรมดา ถือว่าเป็นพันธุ์ข้าวผีโปรด     
○นับจากนั้นมาจึงถือเอาเป็นธรรมเนียมต้องตัดศีรษะมนุษย์มาบูชาผีไร่


ล่าหัวมนุษย์        
ประเพณีล่าหัวมนุษย์ เป็นพิธีกรรมขอความอุดมสมบูรณ์ ต้องทำทุกปี บุญช่วย ศรีสวัสดิ์ บันทึกว่าพวกละว้าล่าหัวมนุษย์ช่วงขอฝน ก่อนลงมือ “เฮ็ดไฮ่” คือ ปลูกข้าวไร่หยอดหลุม และก่อนเก็บเกี่ยว    
○“เวลาเก็บเกี่ยวข้าวไร่ เรียกกันว่า ‘ไปหาหัวฮ้า’ ฮ้า คือ ร้า หรือของบูดเน่าของหมักดองอย่างปลาร้านั่นเอง”       
○เมื่อได้หัวมนุษย์แล้ว เอาไม้ไผ่ลำหนึ่งทะลุปล้องข้างในเสียบหัวไว้ข้างบน โดยผ่าไม้เป็นซีกสานคล้ายตะกร้าตาห่างๆ ทำหลังคากลมปักไว้ลานกลางบ้าน มีท่อไม้รองรับน้ำเหลืองให้ไหลลงมาสู่พันธุ์ข้าวไร่ในกระบุงข้างล่าง      
○หัวมนุษย์ เมื่อเสร็จพิธีแล้วจะถูกนำไปรวมกันไว้ยังเรือนผีหรือศาลหัวกะโหลกซึ่งปลูกติดกับหมู่บ้าน แล้วมีฆ่าควายเซ่นวักเลี้ยงผีปีละครั้ง      
○ถ้าหมู่บ้านใหญ่หลายร้อยหลังคาเรือนต้องฆ่า
ควายหลายตัวมีเต้นฟ้อนหิ้วหัวกะโหลกมนุษย์เวียนไปมารอบๆพร้อมกับเสียงกระแทกกระบอกไม้ไผ่ลงบนพื้นดิน

นักวิจัยเผยข้อมูล ไวรัสโคโรนาแมว ยืนยันมีจริง

นักวิจัยเผยข้อมูล "ไวรัสโคโรนาแมว" ยืนยันมีจริง แต่เป็นคนละสายพันธุ์กับไวรัสอู่ฮั่น ไม่ติดสู่คน เผยปัจจัยเสี่ยง ทำให้ติดเชื้อ รับยังไม่มียารักษา ทำได้แค่ประคองอาการ
จากกรณีสำนักข่าว เดลีเมล์ รายงานว่า จากกระแสไวรัสโคโรนา หรือ ไวรัสอู่ฮั่น ทำให้ทางการจีน สั่งให้ประชาชนทิ้งสัตว์เลี้ยงในบ้าน อ้างว่าอาจเป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา ทั้งที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่า ไม่เคยมีหลักฐานว่าไวรัสโคโรนา จะติดต่อผ่านแมวหรือสุนัขได้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิรินทร์ ธีระวัฒนศิริกุล นักวิจัยจาก ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ยืนยันข้อมูลว่า ไวรัสโคโรนา เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคในแมวได้ แต่เป็นคนละสายพันธุ์กับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัสอู่ฮั่น (nCoV-2019)

ทั้งนี้ ทางการแพทย์ ตรวจพบไวรัสโคโรนาในสัตว์มานานแล้ว ซึ่งไวรัสโคโรนาในสัตว์นั้น เป็นไวรัสที่จำเพาะเจาะจงในแต่ละสายพันธุ์ จะไม่แพร่เชื้อข้ามสายพันธุ์สัตว์ ซึ่งในสุนัข จะมีไวรัสโคโรนาเฉพาะสายพันธุ์ คือ Canine coronavirus ส่วนในแมวไวรัสโคโรนาเฉพาะสายพันธุ์ คือ Feline coronavirus (FCoV) ดังนั้นเมื่อติดเชื้อจึงจะแสดงอาการต่างกัน
สำหรับไวรัสโคโรนาในแมว เป็นไวรัสที่สามารถพบได้ในลำไส้ของแมว โดยมักจะพบการแพร่ของเชื้อไวรัสนี้ได้ ในการเลี้ยงแมวร่วมกันหลายตัว และใช้กระบะทรายขับถ่ายร่วมกัน เนื่องจากมีการแพร่เชื้อผ่านการกินอาหารหรือน้ำ ที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีเชื้อ ไวรัสตัวนี้จะก่อให้เกิดโรคทางเดินอาหารในแมว โดยแมวอาจไม่แสดงอาการใดๆ เลย 
หรือมีอาการลำไส้อักเสบและท้องเสียไม่รุนแรง ไปจนถึงพัฒนาเป็นโรค “เยื่อบุช่องท้องอักเสบติดต่อในแมว” (FIP) ที่แมวจะมีอาการซึม เบื่ออาหาร หายใจผิดปกติ ไปจนถึงมีอาการที่รุนแรงขึ้นคือ พบของเหลวขังตามช่องอกหรือช่องท้อง และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หาย หรือวัคซีนที่ป้องกันไวรัสตัวนี้ให้ได้ผลจริงๆ การรักษาปัจจุบันจึงเป็นแบบประคับประคองอาการเท่านั้น
ส่วนโอกาสการแพร่จากแมวสู่คน ปัจจุบันยังไม่มีรายงานใดว่า มีการแพร่กระจายของไวรัสโคโรนาในแมวมาสู่คน ทั้งจากการคลุกคลีกับแมว หรือการกินแมว 
แต่คำแนะนำคือ ไม่ควรกินสัตว์ที่ไม่ได้มาจากปศุสัตว์ เพื่อการบริโภค ให้กินอาหารปรุงสุกใหม่ๆ สะอาด ใช้ช้อนกลางจะดีที่สุด
ทั้งนี้ในช่วง ปี 2560 – 2562 ที่ผ่านมา ตนและทีมได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “การตรวจคัดกรองโมเลกุลขนาดเล็กที่ยับยั้งโปรติเอสหลักของไวรัสโคโรนาในแมวโดยใช้แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์” 

ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เพื่อศึกษายา หรือสารที่มีโมเลกุลเล็กที่สามารถต้านไวรัสโคโรนาในแมว ชนิดที่ก่อโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบติดต่อในแมว ที่มีความรุนแรงมากในแมวอายุน้อย หรือแมวที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ และมีอัตราการตายสูง

โดยผลงานวิจัย พบสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็ก ที่ต้านการติดเชื้อของไวรัส และต้านการทำงานโปรตีนของไวรัสโคโรนา ที่ชื่อ 3C - like protease ได้โดยตรง จำนวน 3 สาร ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาต่อเป็นยารักษาโรคในกลุ่มไวรัสโคโรนา
ในแมว และโรคไวรัสโคโรนาอื่นๆ ต่อไป

รองเท้าหนังที่เก่าแก่ที่สุด อายุ 5,500 ปี

"มันน่าประหลาดใจที่รองเท้าข้างนี้คล้ายกับรองเท้าในยุคสมัยใหม่มากขนาดนี้!"
กล่าวโดยนักออกแบบชื่อดัง ข้างในอัดแน่นไปด้วยหญ้า บางทีมันอาจจะเป็นฉนวนกันความร้อนหรือที่ดันทรงในยุคแรก รองเท้าหนังอ่อน (moccasin) อายุ 5,500 ปีนี้ 
ถูกค้นพบในสภาพอย่างดีเป็นพิเศษ รองเท้าหนังลึกลับถูก ขุดพบในถ้ำของ ชาวอาร์มีเนียระหว่างปี 2018 

เมื่อเทียบเท่าขนาดของรองเท้า มันใหญ่ประมาณรองเท้าผู้หญิงเบอร์ 7 ดูเหมือนว่ารองเท้าข้างนี้จะถูกตัด สำหรับเท้าข้างขวาของผู้สวมใส่ จากการคำนวณอายุของอินทรีย์วัตถุโดยใช้กัมมันตภาพรังสีในรูปของคาร์บอน (Radiocarbon) 
ระบุวันที่ประมาณ 3,500 ปีก่อน คริสต์ศักราช ระหว่างยุคทองแดงแห่ง อาร์มีเนีย

รองเท้าสมัยก่อนประวัติศาสตร์นี้ถูกบีบอัดบริเวณส้นและส่วนปลาย ของรองเท้า เป็นไปได้ว่าสาเหตุมาจากการเดินเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่ารองเท้าจะใช้การไม่ได้

ลูกตาเทียมที่เก่าแก่ที่สุด อายุ 4,800 ปี

ลูกตาเทียมที่เก่าแก่ที่สุด 
(อายุ 4,800 ปี)
ตามการรายงานในปี 2019
นักโบราณคดีชาวอิหร่านในเมือง Burnt ประกาศในเว็บไซต์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ถึงการค้นพบที่ไม่เคยมีมาก่อนของลูกตาเทียมในยุค 4,800 ปีก่อน 

ลูกตาเทียมนี้เป็นของหญิง
แกร่งคนหนึ่ง อายุระหว่าง 25 ถึง 30 ปีในช่วงเวลาที่ตาย และวัสดุของมันประกอบด้วยน้ำมันดินธรรมชาติผสมกับไขมันสัตว์ จับเป็นแข็งราวก้อนหิน..
จากการศึกษาลูกตาเทียมยังบอกถึงการเกิดของฝีหนองในเปลือกตา
เนื่องจากการสัมผัสกับลูกตาเทียมในระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น
เนื้อเยื่อของเปลือกตาที่ยังคงเหลืออยู่เป็นตัวบ่งบอกถึงลูกตาเทียมนี้อย่างชัดเจน

รายการบล็อกของฉัน