Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

สเตอส์โจด์จูเรต สัตว์ปริศนาในทะเลสาบของไวกิง

"สเตอส์โจด์จูเรต" 
สัตว์ปริศนาในทะเลสาบของไวกิงย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1635 มีการค้นพบแผ่นศิลาที่จารึกเป็นตัวอักษรของ ‘ชาวไวกิง’ ชนพื้นเมืองดั้งเดิมในแถบสแกนดิเนเวีย โดยข้อความที่จารึกลงบนแผ่นศิลาว่าด้วยเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตประหลาดชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบกว้างใหญ่ และศิลาแผ่นนี้ก็ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งบอกได้ว่า เจ้าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้น่าจะมีตัวตนอยู่จริง และมันอาจจะยังมีชีวิตอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งใต้ท้องทะเลสาบแห่งนี้ก็เป็นได้
‘สเตอส์โจด์จูเรต’ (Storsjöodjuret) คือชื่อของสัตว์ประหลาดสุดลึกลับแห่งท้องทะเลสาบสเตอร์จอน (Storsjön) ในมณฑลแยมต์ลันด์ (Jämtland) ทางตอนกลางของประเทศสวีเดน ว่ากันว่าเจ้าสัตว์ประหลาดชนิดนี้มีลำตัวยาวประมาณ 6 เมตร มีเกล็ดมันวาวดูคล้ายมังกรหรืองูขนาดใหญ่ยักษ์ แต่หัวของมันกลับมีลักษณะเหมือนหัวสุนัขไม่มีผิด มันอาศัยอยู่ในทะเลสาบสเตอร์จอนที่ระดับความลึกราว 90 เมตร นอกจากนั้นมันยังมีฟันที่แหลมคมเพื่อเอาไว้ล่าเหยื่อ มีครีบที่ด้านข้างของลำตัว และมันสามารถว่ายน้ำหรือเคลื่อนที่อยู่บนผิวน้ำได้อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด!
จากอดีตจนถึงปัจจุบันมีรายงานการพบเห็นเจ้าสัตว์ประหลาดสเตอส์โจด์จูเรตในพื้นที่ของทะเลสาบสเตอร์จอนอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณตอนใต้ของทะเลสาบ และการพบเห็นครั้งสำคัญที่ทำเอาทั่วโลกฮือฮากันแบบสุด ๆ เลยก็คือในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 เมื่อมีการส่งกล้องอินฟาเรดลงไปสำรวจใต้ทะเลสาบสเตอร์จอนเพื่อตรวจวัดระดับความร้อนแต่กล้องสามารถจับภาพของสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีลำตัวยาวคล้ายสเตอส์โจด์จูเรตเอาไว้ได้ ซึ่งนักชีววิทยาและผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายได้ออกมาอธิบายถึงภาพเหล่านี้ในภายหลังว่า สิ่งที่กล้องตรวจจับได้ไม่น่าจะใช่สเตอส์โจด์จูเรตแต่อย่างใด ภาพที่เห็นน่าจะเป็นปลาไพค์ (Pike) ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดขนาดใหญ่แต่มีลำตัวยาวและมีเขี้ยวแหลมคมซะมากกว่า!
อย่างไรก็ตามชาวบ้านริมทะเลสาบสเตอร์จอนยังคงเชื่อกันว่าสัตว์ประหลาดสุดลึกลับในตำนานอย่างสเตอส์โจด์จูเรตนั้นมีอยู่จริง ดังจะเห็นได้จากสิ่งก่อสร้างและประติมากรรมหลายอย่างที่อยู่รอบทะเลสาบล้วนเกี่ยวข้องกับเจ้าสัตว์ประหลาดชนิดนี้แทบทั้งสิ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในทางวิทยาศาสตร์เองก็ยังไม่มีหลักฐานชิ้นใดที่สามารถยืนยันได้ว่าสเตอส์โจด์จูเรตมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่!? 
แต่ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตอันใกล้นี้เราอาจจะได้หลักฐานชิ้นใหม่ที่สามารถคลี่คลายปริศนาทั้งหมดของ ‘สเตอส์โจด์จูเรต’ ก็เป็นได้…

นักวิจัยชี้ คนมีอาการ ออทิสติก ในยุคโบราณมีส่วนสำคัญต่อวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์


นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยยอร์กในอังกฤษชี้ เมื่อราวแสนปีก่อน สังคมบุพกาลได้เลิกทอดทิ้งคนที่มีอาการออทิสติก (ผู้มีอาการผิดปกติในด้านพัฒนาการทางระบบประสาท ทำให้มีปัญหาในด้านการมีปฏิสัมพันธ์และการสื่อสาร) และหันมาให้ความสำคัญและยอมรับในความสามารถเฉพาะตัวอันโดดเด่นของพวกเขา ซึ่งมีส่วนสำคัญในการวิวัฒนาการของมนุษย์

รายงานของ ZME SCIENCE กล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่พัฒนาสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้โดยอาศัยความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของคนในสังคม ซึ่งทัศนคติของการอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มที่เรียกว่า “collaborative morality” หรือจริยธรรมแห่งความร่วมมือของมนุษย์ อันเป็นผลมาจากจุดเปลี่ยนเล็กๆ ทางวิวัฒนาการที่เพิ่งปรากฏขึ้นเมื่อราว 100,000 ปีก่อน ซึ่งมุมมองของมนุษย์ได้เปลี่ยนจากการให้ความสำคัญต่อลักษณะเฉพาะของตัวบุคคล ไปสู่การให้ความสำคัญต่อความสามารถ ทักษะ และคุณค่าของตัวบุคคลที่มีต่อกลุ่มก้อนนั้นๆ

และจริยธรรมแห่งความร่วมมือของมนุษย์ก็ช่วยเปิดทางให้กับผู้มีอาการออทิสติก ซึ่งมีความสามารถพิเศษอันเป็นประโยชน์ต่อการเอาตัวรอดของมนุษย์ในยุคโบราณ
“เราพยายามอธิบายว่า ความสำเร็จในการวิวัฒนาการนั้น ความหลากหลาย และความแตกต่างระหว่างผู้คนน่าจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกว่าเรื่องลักษณะเฉพาะของตัวบุคคลแต่ละคน” เพนนี สปิกินส์ (Penny Spikins) อาจารย์ด้านโบราณคดีว่าด้วยต้นกำเนิดของมนุษย์แห่งมหาวิทยาลัยยอร์กและหัวหน้าคณะวิจัย กล่าว

และนักวิจัยเชื่อว่าทักษะความสามารถบางอย่างของผู้มีอาการออทิสติกจะมีประโยชน์อย่างมากกับมนุษย์ในสังคมแบบล่าสัตว์เก็บของป่า เพราะว่าพวกเขามีความจำเป็นเลิศ มีทัศวิสัยที่สามารถเก็บรายละเอียดจากสิ่งที่เห็นได้อย่างน่าทึ่ง รวมถึงความสามารถในการสัมผัสรส และกลิ่น และการเข้าใจธรรมชาติอย่างพฤติกรรมสัตว์ได้มากกว่ามนุษย์ปกติ

ในงานวิจัยชิ้นนึงเมื่อปี 2005 เป็นตัวอย่างที่เทียบเคียงได้กับสังคมยุคเก่า โดยพวกเขาได้ทำการศึกษาชีวิตของชายชราคนหนึ่งที่เลี้ยงฝูงกวางเรนเดียร์เพื่อเลี้ยงชีพในเขตไซบีเรีย เขามีอาการออทิสติกแต่มีความสามารถพิเศษที่สามารถจดจำรายละเอียดของกวางกว่า 2,600 ตัวได้ว่า กวางแต่ละตัวเป็นลูกของกวางตัวไหน และยังจำประวัติเกี่ยวกับอาการป่วยของพวกมันได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นความสามารถที่มีความสำคัญต่อการจัดการฝูงและการอยู่รอดของพวกมันอย่างมาก และแม้ว่าเขาจะรักที่อยู่กับฝูงกวางมากกว่าครอบครัว แต่เขาก็ได้รับความเคารพอย่างสูงจากลูกเมีย และหลานๆ นักวิจัยจึงเชื่อว่า คนที่มีอาการออทิสติกในยุคบรรพกาลที่เริ่มมีการรวมกลุ่มก็น่าจะได้รับการปฏิบัติลักษณะใกล้เคียงกัน
แต่การหาหลักฐานทางโบราณคดีที่จะช่วยยืนยันทฤษฎีดังกล่าวเป็นเรื่องยาก เพราะโครงกระดูกโบราณไม่สามารถบอกถึงการมีอยู่ของอาการออทิสติกได้

อย่างไรก็ดี เบาะแสการมีอยู่ของคนที่มีอาการออทิสติกในสังคมมนุษย์โบราณอาจปรากฏอยู่ในภาพเขียนผนังถ้ำโบราณ รวมถึงประติมากรรมโบราณอื่นๆ ซึ่งแม้จะยืนยันไม่ได้อย่างชัดเจนแต่งานบางชิ้นก็พอจะพบเห็นลักษณะที่มักปรากฏอยู่ในกลุ่มผู้มีอาการออทิสติก

พบสารปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีของศพอารยธรรมโบราณกว่า 1000 ปี


นักโบราณคดีอึ้ง! พบสารปนเปื้อนกัมมันตภาพรังสีของศพอารยธรรมโบราณกว่า 1000 ปี

มันอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกเท่าไหร่นัก สำหรับนครเมืองโบราณแต่ละที่ ที่มีการล่มสลายจนเหลือแต่เศษซากและสิ่งหักพังแล้ว สิ่งเหล่านี้ได้หลงเหลือไว้ให้นักโบราณคดี จารึกไว้เป็นหน้าประวัติศาสตร์และเอาไว้ใช้ศึกษาถึงที่มาของเรื่องราวในยุคนั้น ซึ่งมันจะไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ 

ถ้าหากกลุ่มนักวิจัยไม่ไปพบเจอกับสารอะไรบางอย่างในนครโบราณโมเฮนโจดาโร อารยธรรมที่ตั้งอยู่ใกล้ลุ่มแม่น้ำสินธุของประเทศปากีสถาน
อารยธรรมนี้ เป็นที่ตั้งของนครเมืองโบราณที่สร้างขึ้นเมื่อ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล และล่มสลายลงเมื่อเวลาผ่านไป 500 ปี 

พวกเขารายงานถึงผลการตรวจสอบสภาพดินและวิจัยอย่างละเอียดจนได้ข้อสรุปที่ชวนแปลกประหลาดใจว่า เมืองแห่งนี้มีการปนเปื้อนของกัมมันตรังสีที่คล้ายกับรังสีระเบิดปรมาณู โดยพวกเขาได้พบกับสารดังกล่าวจากซากโครงกระดูกที่ปนเปื้อน และเศษดินรอบๆข้างศพ

ซึ่งสิ่งที่ค้นพบนี้ กลายเป็นข้อสงสัยว่า อาวุธเทคโนโลยีกัมมันตภาพรังสี เกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยนั้นแล้วเหรอ ? 

แล้วสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มาจากเมืองใด เพราะในยุคสมัยก่อนคริสตกาล ไม่สามารถที่จะใช้วัสดุใดสร้างเครื่องปล่อยกัมมันตภาพรังสีได้ นอกจากจะเป็นอาวุธล้ำสมัยที่อยู่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ข้อสรุปก็กลับทำให้นักวิจัยและนักโบราณคดีอึ้งไปตามๆกัน ถึงขั้นที่ว่าเมืองแห่งนี้ล่มสลายเพราะสารดังกล่าวเป็นหลักเลยทีเดียว

ไม่แน่ว่า ในสมัยนั้น อาจจะมีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา หรือจากต่างดาว มาทำร้ายเมืองให้สูญสลายไปก็เป็นได้ เพราะอารยธรรมในสมัยก่อน ไม่มีทางที่จะผลิตกัมมันตรังสีได้ทีละมากๆถึงขนาดถล่มเมืองทั้งเมืองได้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นเมืองแห่งนั้นจะต้องมีความเจริญยิ่งกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาไปแล้ว

คนชอบกินแมลงทอดต้องระวัง เพราะอาจเจอพยาธิขนม้าซุกในตัวแมลง


คนชอบกินแมลงทอดต้องระวัง เพราะอาจเจอพยาธิขนม้าซุกในตัวแมลง
เป็นข่าวที่ทำเอาคนชอบกินแมลงทอดผวาไปตามๆ กัน กับภาพชวนอี๋ชำแหละแมลงแต่เจอพยาธิขนม้า (horsehair worm หรือ Gordian worm) 

โดยเป็นภาพจากเฟซบุ๊ก จ.ส.อ. อุดม สร้อยเงิน ที่เผยเจ้าตัวปรสิตสยองโลกให้เห็นกันจะจะเอาเบ็ดชำแหละท้องแมลงเสีย 10 เจอที่มีพยาธิขนม้าแฝงอยู่ถึง 9 ตัว ลากออกมาได้ตัวเป็นเส้นยาวเหยียดจนน่าตกใจ ว่าเข้าไปอัดอยู่ในท้องแมลงตัวนิดเดียวได้อย่างไรกัน

อย่างไรก็ตามหากแมลงเหล่านี้ผ่านการปรุงให้สุกก่อนนำไปบริโภค พยาธิขนม้าที่แฝงอยู่ในตัวก็จะถูกปรุงสุกไปด้วย เมื่อสุกแล้วก็ถือว่าไม่มีอันตรายแก่ผู้บริโภคแต่อย่างใด เพียงแค่จะพาลให้รู้สึกพะอืดพะอมอยากจะโก่งคอ ถ้าเกิดบังเอิญรู้ว่าแมลงทอดรสโอชาที่เพิ่งเอาเข้าปาก มีเจ้าพยาธิตัวยาวนี้อยู่ในท้องด้วย

รายการบล็อกของฉัน