สวิตเซอร์แลนด์ โดยคุณหมอคนหนึ่งชื่อ Dr. George Wander ในปี 1904
(หรือกินไม่ลง) ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วนจึงได้นำ ไข่, มอลต์ และ โกโก้ มาผสมกันเพื่อให้คนไข้ดื่ม
แต่เมื่อนำออกขายนอกสวิตเซอร์แลนด์จึงใช้ชื่อว่า Ovaltineโอวัลตินมีดียังไงมาถึงตอนนี้หลายคนคงจะสงสัยต่อไปอีกว่า
“แล้ว มอลต์ ล่ะ คืออะไร”มอลต์สกัดที่ใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับโอวัลตินนั้นทำมาจาก
“ข้าวบาร์เลย์”(วัตถุดิบตัวเดียวกับที่ใช้ผลิตเบียร์นั่นแหละ แต่กรรมวิธีต่างกัน)
จนกลายเป็นมอลต์สกัดถามว่าทำไมต้องสกัดมาจากตอนที่รากเริ่มงอก เพราะว่าช่วงที่เมล็ดข้าวบาร์เลย์อุดมไปด้วยสารอาหารเนื่องจากเอนไซม์ที่ อยู่ในเมล็ดจะเริ่มกระบวนการผลิตคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และสารอาหารอื่นๆ ที่ ละลายน้ำ เพื่อเป็นอาหารของยอดอ่อนในการเจริญเติบโตโดยเอนไซม์ที่มีมากในระยะของการเริ่มงอกคือ
อะมีเลส(amylase)ทั้งชนิดแอลฟาและเบต้า(แอลฟาอะมีเลสเป็นเอนไซม์ที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล)
นอกจากนี้ยังมีกรดอะมิโนชนิดที่ละลายน้ำได้ ซึ่งให้รสของมอลต์มอลต์ก็คือสารอาหารธรรมชาติที่มคุณค่าทางโภชนาการสูงและดีต่อสุขภาพผลิตจากเมล็ดข้าวบาร์เลย์ที่ไม่ผ่านการขัดสี
จึงยังคงคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วนทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน
นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ มากมายเกือบ 50 ชนิด (โดยเฉพาะ วิตามินเอ วิตามินซี และธาตุเหล็ก)
(ใช้น้ำร้อนนิดเดียว แค่พอโอวัลตินละลาย) จะนั้นก็เติมนมลงไป เท่านี้คุณก็จะได้ โอวัลติน รสกลมกล่อม กลิ่นหอมถูกใจ และยังได้สารอาหารมากมาย
กินโอวัลตินแล้วอ้วนมั๊ย!!
สำหรับ คนที่คิดว่า ดื่มโอวัลตินแล้วอ้วน จริงๆแล้วโอวัลตินไม่ได้ทำให้อ้วนหรอกครับ ตัวที่ทำให้อ้วนนั่นคือ “นมข้นหวาน” ที่คุณเติมลงไปนั่นแหละถ้าคนที่กลัวอ้วน หรือต้องการควบคุมน้ำหนัก
ก็สามารถ ชงโอวัลตินกับน้ำร้อน โดยที่ไม่ต้องเติมน้ำตาล
นมข้นหวาน หรือ ครีมเทียมก็ได้นะครับ
เครดิต คุณเอ็ม
เรียบเรียงข้อมูลใหม่โดย manman