Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

เคสแรกในโลก ชายวัย 30 ปีชาวสก็อตแลนด์มีอาการหลอดลมทะลุ คอบวม และก้อนอากาศติดอยู่ในทางเดินหายใจชักดิ้นชักงอหายใจไม่ออกเกือบตาย


นี่อาจจะเป็นเคสแรกในโลก ชายวัย 30 ปีชาวสก็อตแลนด์มีอาการหลอดลมทะลุ คอบวม และก้อนอากาศติดอยู่ในทางเดินหายใจ แพทย์วินิจฉัยเป็นอาการบาดเจ็บจากการกลั้นจามด้วยการปิดปากและบีบจมูก 

รายงานใหม่ที่เผยแพร่ในวารสาร British Medical Journal ซึ่งเขียนโดยแพทย์โรงพยาบาล Ninewell ในเมืองดันดี สก็อตแลนด์ ได้เผยให้เห็นเคสตัวอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในโลก ซึ่งระบุถึงอาการบาดเจ็บในทางเดินหายใจจากการการกลั้นจามแทนที่จะปล่อยออกไป

“เราได้รายงานภาวะหลอดลมทะลุหลังจากการจาม ซึ่งตามความรู้ของเราไม่เคยมีรายงานมาก่อน” แถลงการณ์ระบุ 
.
ทีมแพทย์ได้เล่าถึงเหตุการณ์ว่า ชายวัย 30 ปีคนนี้ได้เข้ามาที่ห้องฉุกเฉินด้วยอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง คอของเขาบวมทั้งสองข้าง เมื่อแพทย์ตรวจดูก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตกเบา ๆ อย่างไรก็ตาม ชายคนนั้นสามารถหายใจ กลืน หรือพูดได้ปกติ 

แพทย์จึงทำการเอ็กซ์เรย์คอของเขา ซึ่งเผยให้เห็นรอยฉีกขาดขนาด 2 x 2 มิลลิเมตร ไม่เพียงเท่านั้นยังมีอากาศติดอยู่ใต้ชั้นเนื้อเยื่อของผิวหนัง และเมื่อทำสแกนด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Scan) ก็พบว่ามีก้อนน้ำอยู่ระหว่างกระดูกชิ้นที่ 3 และ 4 ของกระดูกของ รวมถึงมีก้อนอากาศอยู่ในช่องว่างระหว่างปอด

แพทย์ตัดสินใจว่าไม่จำเป็นต้องมีการผ่าตัด แต่เขาได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 48 ชั่วโมงด้วยยารักษาบรรเทาอาการปวด เนื่องจากมีอัตราการเต้นของหัวใจ ระดับออกซิเจน และความดันโลหิตปกติ เมื่อผ่าน 5 แพทย์ก็ระบุว่าเขาสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ 

“เราสงสัยว่าหลอดลมมีรูพรุน เนื่องจากแรงกดดันในหลอดลมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขณะที่บีบจมูกและปิดปากระหว่างจาม” รายงานระบุพร้อมกับเน้นย้ำว่า “ทุกคนควรได้รับคำแนะนำว่าอย่ากลั้นจามด้วยการบีบจมูกและปิดปาก เพราะอาจส่งผลให้เกิดหลอดลมทะลุได้” 


แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่หลอดลมทะลุ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่การกลั้นจามทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ ในปี 2018 ชายชาวอังกฤษวัย 34 ปีคนหนึ่งเนื้อเยื่อหลังคอของเขาแตกหลังบีบจมูกและปิดปากระหว่างจาม ด้วยเหตุนี้ทีมแพทย์จึงแนะนำว่าหากต้องการจาม ให้ปล่อยออกมาโดยมีทิชชู่ปิดปากและจมูกไว้ดีกว่า


“การหยุดจามด้วยการปิดรูจมูกและปากเป็นการกระทำที่อันตรายซึ่งควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนได้หลายอย่างเช่น อากาศติดอยู่ในหน้าอก แก้วหูทะลุ และแม้กระทั่งหลอดเลือดแตก” รายงานจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ เอ็นเอชเอส ทรัสต์ เขียนเมื่อปี 2018
 


จระเข้ยักษ์โบราณ พูรัสซอรัส ที่มีแรงกัดทรงพลังกว่าทีเร็กซ์ 2 เท่า


จระเข้ยักษ์โบราณ พูรัสซอรัส ที่มีแรงกัดทรงพลังกว่าทีเร็กซ์ 2 เท่า


วันนี้เราจะมานำเสนอบทความเกี่ยวกับเรื่องจระเข้โบราณที่มีฟันเหยินแทรกแซงแหลมคมเต็มปาก

ต้องยอมรับนะครับว่าจระเข้เนี่ยเป็นสัตว์ยุคโบราณที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันต้นตระกูลของมันที่เป็นจระเข้ยักษ์ฟันเหยินเต็มปากตัวใหญ่โตมโหฬารอาจจะสูญพันธุ์ไปแล้วแต่ก็ยังมีเชื้อสายพันธุ์จระเข้ที่หลงเหลือสืบพันธุ์มาจนถึงปัจจุบันนะครับเดี๋ยวเรามาเข้ารายละเอียดเลยดีกว่าครับ

ไคแมนยักษ์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ พูรัสซอรัส (Purussaurus) เป็นนักล่าในยุคไมโอซีน อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำในทวีปอเมริกาใต้ ถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีแรงกัดมากที่สุดของสัตว์ที่เคยปรากฏมาบนโลก


มีสิ่งมีชีวิตเหนือจินตนาการของเราจำนวนมากที่อาศัยอยู่บนโลกนี้มานานก่อนที่มนุษย์จะเกิดขึ้น ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็คือ พูรัสซอรัส จระเข้ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีลำตัวยาวกว่ารถโรงเรียน และแข็งแกร่งกว่าทีเร็กซ์

พูรัสซอรัสมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Purussaurus brasiliensis จระเข้ยักษ์โบราณที่ยาวถึง 13 เมตรเมื่อโตเต็มวัยและมีน้ำหนักมาถึง 8,210 กิโลกรัม พวกมันกินเนื้อวันละประมาณ 40 กิโลกรัมเป็นประจำ


สัตว์โบราณชนิดนี้ออกล่าเหยื่อบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำในทวีปอเมริกาใต้ มันจะพุ่งตัวขึ้นจากน้ำเพื่อตะครุบเหยื่อ ขากรรไกรของมันมีแรงกัดมหาศาลถึง 5.3 เมตริกตัน ซึ่งแข็งแกร่งกว่าไทแรนโนซอรัส เรกซ์ถึง 2 เท่า

การค้นพบพูรัสซอรัส
Purussaurus brasiliensis ได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการตามการค้นพบในป่าฝนของบราซิล แม้ว่ารูปร่างของมันจะคล้ายกับจระเข้ แต่เนื่องจากมันมีท้องที่หุ้มเกราะหนาจึงถูกจัดอยู่ในสายตระกูลไคเมน (Caiman) ซึ่งเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับจระเข้

ซากฟอสซิลพูรัสซอรัสตัวแรกถูกค้นพบในช่วงปลายทศวรรษ 1800 โดย Joao Barbosa Rodrigues นักวิจัยชาวบราซิล ในระหว่างสายพันธุ์นี้ถูกค้นพบ มีการตั้งชื่อ และลงบันทึกทางประวัติศาสตร์แล้ว แต่ก็ยังมีการคาดเดามากมายเกี่ยวกับขนาดและนิสัยของมัน โชคดีที่มีการค้นพบกะโหลกศีรษะขนาดใหญ่ของมัน

ต่อมามีการค้นพบซากกระดูกชิ้นส่วนอื่นเพิ่มขึ้นตามเรื่อย ๆ ทั้งในประเทศเปรู โคลอมเบีย ปานามา และเวเนซุเอลา ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพูรัสซอรัสเป็นสายพันธุ์จระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยมีความยาวอยู่ที่ 13 เมตรและน้ำหนัก 8.4 ตัน

จนกระทั่งไม่นานมานี้ มีรายงานการค้นพบรอยกัดขนาดใหญ่ปรากฎอยู่บนกระดูกของสลอธที่มีอายุ 13 ล้านปี จากการศึกษาพบว่ารอยกัดนั้นน่าจะเกิดจากการโจมตีของพูรัสซอรัส เพราะในบรรดาจระเข้โบราณ 6 สายพันธุ์ในภูมิภาคนี้ไม่มีสายพันธุ์ไหนที่มีฟันใหญ่เท่ามันอีกแล้ว

ทำไม Purussaurus brasiliensis จึงเป็นนักล่าที่น่ากลัวที่สุดในยุคนั้น

 Tito Aureliano และทีมงานของเขาเปิดเผยข้อมูลที่ค้นพบเกี่ยวกับแรงกัด ลักษณะรูปร่าง และความเป็นอยู่ของพูรัสซอรัส นักบรรพชีวินวิทยาชาวบราซิลแห่งมหาวิทยาลัย Campinas ระบุว่าจระเข้ยักษ์โบราณสายพันธุ์นี้มีแรงกัดที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาสัตว์สี่ขาที่เคยปรากฏบนโลก

จากข้อมูลในวารสาร Public Library of Sciences มีการวิเคราะห์แรงกัดของพูรัสซอรัส พบว่ามีค่าอยู่ที่ 69,000 นิวตันหรือ 15,512 ปอนด์ ซึ่งมากกว่าแรงกัดของฉลามขาวถึง 20 เท่า จระเข้โบราณตัวนี้สามารถแอบซ่อนอยู่ในน้ำตื้นและบิดเหยื่อของมันให้จมลึกลงไป ด้วยขนาดที่ใหญ่มหึมาและการล่าเหยื่อที่ทรงพลัง ทำให้พูรัสซอรัสเป็นราชาในหมู่นักล่า


เมื่อพูรัสซอรัสโตเต็มวัย มันจะกินสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังขนาดใหญ่ถึงใหญ่มาก มันสามารถคว้าเหยื่อที่มีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งตันได้อย่างง่ายดาย เมื่อเปรียบเทียบกับทีเร็กซ์ ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีชีวิตอยู่กันคนละยุค แต่เป็นที่แน่ชัดว่าแม้แต่ทีเร็กซ์ก็ไม่รอดจากแรงกัดมหาศาลและฟันที่แหลมคมของมัน

ทำไมPurussaurus ถึงสูญพันธุ์
อย่างไรก็ตามพูรัสซอรัสไม่ได้มีชีวิตยืนยาวอยู่บนโลกใบนี้ การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาก่อให้เกิดการแปรสัณฐานเป็นแนวเทือกเขาแอนดีส ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตของสัตว์หลายสายพันธุ์

เนื่องจากพูรัสซอรัสต้องการเนื้อจำนวนมหาศาลเพื่อมีชีวิตอยู่รอด เมื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นเหยื่อเริ่มหายไปพร้อมกับภูมิประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา พูรัสซอรัสก็ไม่มีอาหารเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต สุดท้ายพวกมันค่อย ๆ ล้มตายลงและสูญพันธุ์ไปในที่สุด

อ่านมาจนถึงวันสุดท้ายแล้วจระเข้ยักษ์โบราณพูรัสซอรัส ที่สูญพันธุ์ไปเนี่ยเพราะว่าไม่มีอาหารจะกินล่าเหยื่อ ไปล่ามาจนเหยื่อหายหมด  โลกเปลี่ยนแปลงก็เลยอดอยากปากแห้ง ตายไปสูญพันธุ์ไปก็แค่นั้นแหละเป็นไปตามวัฏจักรวงจรของชีวิตสุดท้ายก็ง่อยกินแห้งตาย ตายซากสูญพันธุ์ไปในที่สุด

งานวิจัยใหม่แนะมนุษย์อาจไม่ได้เป็นคนสร้างมหาสฟิงซ์ขึ้นมาเองทั้งหมด แต่ธรรมชาติเป็นคนช่วยและมนุษย์เป็นคนแต่งเติม


งานวิจัยใหม่แนะมนุษย์อาจไม่ได้เป็นคนสร้างมหาสฟิงซ์ขึ้นมาเองทั้งหมด
แต่ธรรมชาติเป็นคนช่วยและมนุษย์เป็นคนแต่งเติม

ธรรมชาติสร้างหรือคนสร้างพีระมิดหรือว่าสฟิงซ์มันก็ไม่มีความหมายอะไรในเมื่อมันสร้างเสร็จแล้วใครจะสร้างใครจะทำก็ปล่อยมันไปตามเรื่องตามราวไปเถอะ

แต่เราก็สามารถที่จะเรียนรู้หรือวิเคราะห์วิจัยได้นะเพราะความอยากรู้อยากเห็นของคนมันมีไม่มีสิ้นสุด

ซึ่งเกิดจากกระแสลมกัดเซาะนานหลายพันปี


เป็นเวลากว่า 40 ปีแล้วที่ Farouk El-Baz
นักวิทยาศาสตร์อวกาศและนัธรณีวิทยาซึ่งเป็นที่รู้จักจากการสำรวจภาคสนามในทะเลทรายทั่วโลก
ตั้งทฤษฎีว่าลมมีส่วนสำคัญในการสร้างรูปร่างของมหาสฟิงซ์แห่งกิซ่า
จากนั้นชาวอียิปต์โบราณก็ได้เพิ่มรายละเอียดใบหน้าและร่างกายให้สมบูรณ์

น่าเสียดายที่ตอนนั้นยังไม่มีหลักฐานที่สนับสนุนเพียงพอ แต่ในตอนนี้งานวิจัยใหม่ที่เผยแพร่ในวารสารPhysical Review Fluids
จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กได้เสนอหลักฐานจากการทดลองว่า กระแสลมอาจเป็นผู้ช่วยสร้างจริง ๆ 

“การทดลองในห้องปฏิบัติการของเราแสดงให้เห็นว่ารูปร่างคล้ายสฟิงซ์ที่น่าประหลาดใจนั้นแท้จริงแล้วสามารถมาจากวัสดุที่ถูกกัดเซาะโดยการไหลที่รวดเร็ว” Leif Ristroph
รองศาสตราจารย์จากสถาบันวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ Courant Institute of Mathematical Sciences
กล่าว

จุดเริ่มต้นก็คือทีมวิจัยได้เห็นเสาหินในทะเลทรายที่เรียกว่า Yardang
มันเป็นเสาที่ถูกลมกัดกร่อนแต่ละส่วนไม่เท่ากันพวกเขาชื่อว่าบางที ชาวอียิปต์โบราณเห็น Yardangนี้แล้วก็อาจจะอยากแกะสลักตกแต่ง
เพิ่มใบหน้าคนเข้าไป แล้วเปลี่ยนตัวให้เป็นสิงโตพร้อมใส่ปีกอินทรีเข้าไปด้วย 

ทีมงานจึงทดลองว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่กระแสลมจะกัดเซาะหินให้มีรูปร่างเหมือนเป็นตัวต้นแบบของสฟิงซ์
พวกเขาจึงปั้นดินเหนียวโดยใส่วัสดุแข็งเข้าไปข้างในแล้วเอามันไปไว้ในอุโมงค์ที่มีกระแสน้ำไหลอยู่เพื่อแทนกระแสลม และพวกเขาก็ประหลาดใจ 


“(เรา)แสดงให้เห็นว่ากระบวนการกัดเซาะตามธรรมชาติสามารถแกะสลักรูปร่างที่ดูเหมือสิงโตนอนโดยมีการยกหัวขึ้น” Ristroph บอกน้ำที่ไหลอย่างรวดเร็วได้พัดเอาดินเหนียวออกไปกลายเป็นหัวทรงกระบอกซึ่งต่อมาก็เป็นเกราะป้องกันร่างกายด้านหลัง 

ในขณะที่กระแสน้ำด้านล่างลงมาก็ค่อย ๆ สร้างคอแขนขา และอุ้งเท้า
“รูปร่างที่ไม่คาดคิดมาจากการที่กระแสน้ำถูกเปลี่ยนทิศทางไปรอบ ๆ
ชิ้นส่วนที่แข็งกว่าหรือกัดกร่อนได้น้อยกว่า” Ristrophเสริม

และในท้ายที่สุดมนุษย์ก็เข้ามาแต่งเติมให้รายละเอียดสมบูรณ์ ทีมงานสรุปว่านี่คือหลักฐานที่เป็นไปได้แต่ยังไงก็ตามพวกเขาไม่แน่ใจว่าในธรรมชาติจะมีเสาหินที่ใหญ่พอหรือไม่แต่เสาหินหลายแห่งก็มีรูปร่างเหมือนสัตว์นั่งหรือนอนอยู่บ้างแล้ว 


“ในความเป็นจริงแล้วมี Yardang
ที่ดูเหมือนสัตว์นั่งหรือนอน บางตัวดูเหมือนสิงโตนั่งหรือแมวนั่งมาก ซึ่งสนับสนุนข้อสรุปของเรา”Ristroph กล่าวถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังยกย่องความสามารถของชาวอียิปต์โบราณที่สามารถสร้างสรรค์งานออกมาได้อย่า
งน่าทึ่งรวมถึงจินตนาการถึงสัตว์วิเศษตัวนี้ด้วยเช่นกัน

"ผลลัพธ์เหล่านี้แสดงให้เห็นว่าคนโบราณอาจพบอะไรบ้างในทะเลทรายของอียิปต์และเหตุใดพวกเขาจึงจินตนาการถึงสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์" รายงานระบุ

ทีมนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ ได้สังเคราะห์สร้างหุ่นยนต์แมลงที่พัฒนาขึ้นใหม่สามารถบินได้อย่างเต็มที่ในทุกทิศทาง


ทีมนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ ได้สังเคราะห์สร้างหุ่นยนต์แมลงที่พัฒนาขึ้นใหม่สามารถบินได้อย่างเต็มที่ในทุกทิศทาง

หุ่นยนต์วัดขนาดแมลงที่พัฒนาขึ้นใหม่สามารถบินได้อย่างเต็มที่ในทุกทิศทาง
24 พฤษภาคม 2566 โดย ทีมงานข่าว
ทีมนักวิทยาศาสตร์ของสหรัฐฯ ได้สังเคราะห์และใช้ตัวควบคุมการบินอิสระ 6 ระดับประสิทธิภาพสูงสำหรับ Bee ++ หุ่นยนต์บินขนาดแมลงที่ขับเคลื่อนด้วยปีกกระพือปีก 4 ข้างที่กระพือได้อย่างอิสระ


ด้วยปีกทั้งสี่ที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์และเส้นใยไมลาร์ รวมทั้งแอคชูเอเตอร์น้ำหนักเบาสี่ตัวเพื่อควบคุมปีกแต่ละข้าง ต้นแบบ Bee++ จึงเป็นรุ่นแรกที่บินได้อย่างเสถียรในทุกทิศทาง  เครดิตรูปภาพ: Bena et al., doi: 10.1109/TRO.2022.3218260
ด้วยปีกทั้งสี่ที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์และเส้นใยไมลาร์ รวมทั้งแอคชูเอเตอร์น้ำหนักเบาสี่ตัวเพื่อควบคุมปีกแต่ละข้าง ต้นแบบ Bee++ จึงเป็นรุ่นแรกที่บินได้อย่างเสถียรในทุกทิศทาง 


นักวิจัยพยายามพัฒนาแมลงบินเทียมมานานกว่าสามทศวรรษ

สักวันหนึ่งพวกมันอาจนำไปใช้กับงานหลายๆ อย่าง รวมถึงการผสมเกสรเทียม การค้นหาและช่วยเหลือในพื้นที่จำกัด การวิจัยทางชีววิทยา หรือการตรวจสอบสิ่งแวดล้อม รวมถึงในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตร


แต่เพียงแค่ให้หุ่นยนต์ตัวเล็กบินขึ้นและลงจอดได้ จำเป็นต้องมีการพัฒนาตัวควบคุมที่ทำหน้าที่เหมือนกับสมองของแมลง

Dr. Néstor Pérez-Arancibia นักวิจัยจาก Washington State University กล่าวว่า "มันเป็นการผสมผสานระหว่างการออกแบบและการควบคุมหุ่นยนต์

“การควบคุมนั้นใช้คณิตศาสตร์สูง และคุณออกแบบสมองเทียมประเภทหนึ่ง บางคนเรียกมันว่าเทคโนโลยีที่ซ่อนเร้น แต่ถ้าไม่มีมันสมองง่ายๆ ก็คงไม่มีอะไรทำงาน”


ดร. Pérez-Arancibia และเพื่อนร่วมงานได้พัฒนาผึ้งหุ่นยนต์สองปีก แต่มันถูกจำกัดในการเคลื่อนไหว

ในปี 2019 พวกเขาได้สร้างหุ่นยนต์สี่ปีกที่เบาพอที่จะบินขึ้นได้

ในการซ้อมรบสองครั้งที่เรียกว่าการขว้างหรือการกลิ้ง พวกเขาทำให้ปีกด้านหน้ากระพือในลักษณะที่แตกต่างจากปีกด้านหลังสำหรับการขว้าง และปีกด้านขวากระพือในลักษณะที่แตกต่างจากปีกด้านซ้ายสำหรับการกลิ้ง ทำให้เกิดแรงบิดที่หมุนหุ่นยนต์ไปรอบๆ แกนนอนหลักสองแกน

แต่การสามารถควบคุมท่าทางการหันเหที่ซับซ้อนนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากไม่มีหุ่นยนต์ หุ่นยนต์จะหลุดออกจากการควบคุม ไม่สามารถโฟกัสไปที่จุดใดจุดหนึ่งได้ จากนั้นพวกเขาก็พัง

“ถ้าคุณควบคุมการหันเหไม่ได้ แสดงว่าคุณถูกจำกัดอย่างมาก ถ้าคุณเป็นผึ้ง นี่คือดอกไม้ แต่ถ้าคุณควบคุมการหันเหไม่ได้ คุณก็จะหมุนตัวอยู่ตลอดเวลาเมื่อคุณพยายามจะไปถึงที่นั่น” ดร. เปเรซ-อารันซิเบียกล่าว

“การมีการเคลื่อนไหวในทุกองศาก็มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการหลบหลีกหรือการติดตามวัตถุ”


“ระบบไม่เสถียรอย่างมาก และปัญหาก็ยากสุดๆ เป็นเวลาหลายปีที่ผู้คนมีความคิดเชิงทฤษฎีเกี่ยวกับวิธีควบคุมการหันเห แต่ไม่มีใครสามารถทำได้เนื่องจากข้อจำกัดในการกระตุ้น”


เพื่อให้หุ่นยนต์ของพวกเขาบิดในลักษณะที่ควบคุมได้ นักวิจัยใช้สัญญาณจากแมลงและขยับปีกเพื่อให้พวกมันกระพือปีกในระนาบมุม

พวกเขายังเพิ่มจำนวนครั้งต่อวินาทีที่หุ่นยนต์ของพวกเขาสามารถกระพือปีกได้ — จาก 100 เป็น 160 ครั้งต่อวินาที

“ส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาคือการออกแบบทางกายภาพของหุ่นยนต์ และเรายังได้คิดค้นการออกแบบใหม่สำหรับตัวควบคุม ซึ่งเป็นสมองที่บอกให้หุ่นยนต์รู้ว่าต้องทำอะไร” ดร. Pérez-Arancibia กล่าว

“ด้วยน้ำหนัก 95 มก. ปีกกว้าง 33 มม. Bee++ ยังใหญ่กว่าผึ้งจริงซึ่งหนักประมาณ 10 มม.”

“ต่างจากแมลงจริงตรงที่มันสามารถบินได้เองครั้งละประมาณห้านาทีเท่านั้น ดังนั้นมันจึงถูกล่ามไว้กับแหล่งพลังงานเป็นส่วนใหญ่ผ่านสายเคเบิล”

“เรากำลังทำงานเพื่อพัฒนาหุ่นยนต์แมลงประเภทอื่นๆ รวมถึงโปรแกรมรวบรวมข้อมูลและเครื่องสไตรเดอร์น้ำ

https://youtu.be/6AJ_Nm3rWBQ

Kambo - พิธีกรรมการรักษาที่แปลกประหลาดใส่สารคัดหลั่งที่เป็นพิษของกบเข้าสู่ร่างกายของคนเพื่อล้างสารพิษซึ่งอาจทำให้คุณเสียชีวิตได้


Kambo - พิธีกรรมการรักษาที่แปลกประหลาดใส่สารคัดหลั่งที่เป็นพิษของกบเข้าสู่ร่างกายของคนเพื่อล้างสารพิษซึ่งอาจทำให้คุณเสียชีวิตได้ 

 Kambo เป็นพิธีกรรมของชาวอะเมซอนโบราณที่เกี่ยวข้องกับการใส่สารคัดหลั่งที่เป็นพิษของกบเข้าสู่ร่างกายของคุณเพื่อล้างสารพิษและผลในการส่งเสริมสุขภาพ 

Kambo ได้รับการตั้งชื่อตามสารคล้ายขี้ผึ้งที่มีพิษซึ่งเก็บเกี่ยวจากหลังของกบลิงยักษ์ที่พบได้ทั่วอเมซอน Kambo เป็นพิธีล้างบาปที่เป็นที่ถกเถียงเสมอมา 

เนื่องจากมีผลข้างเคียงที่รุนแรงจากการสัมผัสโดยตรงกับพิษของกบลิงยักษ์ ความขัดแย้งดังกล่าวเพิ่งถึงจุดสูงสุดเนื่องจากการสืบสวนของออสเตรเลียเกี่ยวกับการเสียชีวิตของบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องสองคนซึ่งเสียชีวิตหลังจากพยายามคัมโบได้ไม่นาน แม้ว่าอาการที่เกี่ยวข้องกับกัมโบจะแตกต่างกันไปตามความรุนแรง แต่ในบางกรณี อาการดังกล่าวก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพอย่างร้ายแรง

 ถึงขั้นเสียชีวิตได้  พิธีกรรมชามานิสต์ที่รู้จักกันในชื่อคัมโบถูกใช้โดยชนพื้นเมืองของป่าฝนอเมซอนเพื่อรักษาและชำระล้างร่างกายมานานหลายศตวรรษ และได้รับการส่งเสริมโดยนักธรรมชาติบำบัดสำหรับผลการล้างพิษ 

อย่างไรก็ตาม กัมโบะอาจเป็นวิธีที่ค่อนข้างโหดร้าย ผลข้างเคียงของพิธีกรรม ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง สูญเสียการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ วิงเวียน หัวใจสั่น ปวดท้อง และอื่นๆ


พิธีกรรมเริ่มต้นด้วยการดื่มน้ำประมาณหนึ่งลิตรหรือซุปมันสำปะหลัง ต่อจากนั้น ผู้ทำพิธีจะใช้แท่งไฟเพื่อสร้างรอยไหม้เล็กๆ บนผิวหนังของผู้ที่พยายามกัมโบ 

ซึ่งมักจะเป็นบริเวณไหล่ สิ่งนี้ทำให้เกิดแผลพุพองที่ลอกออก และบาดแผลเล็กน้อยจะถูกทาด้วยกัมโบหรือที่เรียกว่าซาโปซึ่งเป็นสารคัดหลั่งพิษของกบลิงยักษ์ 

ผู้เสนอกัมโบอ้างว่าพิธีกรรมสามารถช่วยรักษาโรคได้หลากหลาย ตั้งแต่โรคอัลไซเมอร์และมะเร็ง ไปจนถึงเบาหวาน ภาวะซึมเศร้า และแม้แต่ภาวะมีบุตรยาก นักวิจัยได้ศึกษา kambo มาหลายปีแล้ว 

แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ใดที่สนับสนุนผลทางการแพทย์ที่เป็นประโยชน์ของการปฏิบัติของชาวอะเมซอน 

อย่างไรก็ตาม, ผลกระทบด้านลบมีการจัดทำเป็นเอกสารไว้อย่างดี. 


เนื่องจากพิษสัมผัสโดยตรงกับเนื้อของผู้ที่พยายามทำพิธีกรรมกัมโบ พิษจึงเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองและกระแสเลือดโดยตรง ผลกระทบของพิษจะเกิดขึ้นแทบจะในทันที เมื่อพิษ 'วิ่งไปทั่วร่างกายเพื่อสแกนหาปัญหา' ผู้ปฏิบัติงานจะเริ่มประสบกับผลข้างเคียงหลายอย่าง โดยเฉพาะการอาเจียน เป็นระยะเวลาที่อาจเปลี่ยนแปลงระหว่าง 5 ถึง 30 นาที และนานถึงหลายชั่วโมงในบางกรณี   
หลังจากกัมโบ ออกฤทธิ์

ผู้ปฏิบัติงานจะต้องดื่มน้ำหรือชาเพื่อล้างสารพิษที่เหลืออยู่ออกจากร่างกาย แต่แม้ปฏิบัติตามคำแนะนำในบันทึกก็ยังทำให้ผู้คนมีความเสี่ยง เช่น อาเจียนและท้องร่วงเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อกระตุก ชัก และอื่นๆ 

Kambo เป็นพิษโดยพื้นฐาน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งต้องห้ามในบางประเทศ แต่มันถูกกฎหมายในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้รับการควบคุมโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือองค์กรด้านสุขภาพอื่น 

พิธีกรรมของชาวอะเมซอนถูกตรวจสอบข้อเท็จจริงระหว่างการสืบสวนล่าสุดของออสเตรเลียเกี่ยวกับการเสียชีวิตของคนสองคน 

ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นผลมาจากกัมโบ ในปี 2019 นาตาชา เลคเนอร์จัดพิธีกัมโบที่บ้านของเธอเพื่อพยายามจัดการกับอาการปวดหลังเรื้อรัง 

ภายในไม่กี่วินาทีหลังจากใช้กัมโบบนร่างกายของเธอ เธอก็หมดสติ ชักเกร็งและเสียชีวิตในไม่กี่นาทีต่อมา 

หญิงวัย 39 ปีได้รับการฝึกฝนเป็นผู้ฝึกกัมโบเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่เธอจะเสียชีวิต   


ในอีกกรณีหนึ่ง Jarrad Antonovich วัย 46 ปีเสียชีวิตหลังจากพยายามคัมโบที่สถานที่พักผ่อนใน Byron Bay เพื่อรักษาอาการเรื้อรังสองอย่าง 

พยานกล่าวว่าเขาดูไม่ค่อยสบายหลังจากพิธีกรรม และอีก 9 หรือ 10 ชั่วโมงต่อมา เขาก็ไม่สามารถเดินได้อีก และใบหน้าของเขาก็บวมอย่างไม่น่าเชื่อ ภายในเวลา 23.30 น. หลังจากมีรายงานว่าได้บริโภค ayahuasca เข้าไป 

เขาก็หมดสติ และแพทย์ก็ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้ แม้จะมีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม เช่น พิธีกรรมชามานิสต์ เช่น คัมโบ ผู้คนก็ยังมีแนวโน้มที่จะใช้มันแทนยาทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขารู้สึกผิดหวังกับสิ่งหลัง 

แฉขบวนการหมอลวงโลก หลอกให้ความหวังคนตาใกล้บอดมีทางรักษาหาย


ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคอาร์พีกว่า 2 ล้านคนทั่วโลก แต่ยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผลกับผู้ป่วยส่วนใหญ่

บุคลากรทางการแพทย์บางส่วน ซึ่งทั่วโลกมีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยในขณะนี้ กำลังหลอกให้ความหวังผู้ป่วยโรคตาที่การมองเห็นของพวกเขาใกล้จะดับมืดลงในไม่ช้า โดยอวดอ้างว่ามีหนทางรักษาโรคร้ายแรงดังกล่าวให้หายได้ พร้อมกับเสนอขายยาวิเศษและวิธีบำบัดแสนมหัศจรรย์ ซึ่งความจริงแล้วล้วนแต่เป็นของปลอมลวงโลก

เมื่อปี 2013 ผมเดินทางไปกรุงปักกิ่งของจีน เพื่อเข้ารับการผ่าตัดรักษาโรคจอประสาทตามีสารสี หรือโรคจอประสาทตาเสื่อมด้วยสาเหตุทางพันธุกรรม ซึ่งเรียกกันโดยย่อว่าโรคอาร์พี (retinitis pigmentosa - RP) การที่ผมป่วยด้วยโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้นี้ หมายความว่าดวงตาของผมจะค่อย ๆ มืดมัวลง จนบอดสนิทในที่สุด

ผมต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ในความมืดเป็นเวลา 5 วันเต็ม แต่ในใจเปี่ยมไปด้วยความหวังว่า การผ่าตัดที่ลงทุนจ่ายเงินไปถึงเกือบ 450,000 บาท จะหยุดยั้งความเสื่อมของจอประสาทตาและเปลี่ยนชีวิตผมได้

เมื่อออกจากโรงพยาบาลและเดินทางกลับบ้านที่กรุงไคโรของอียิปต์ ผมเที่ยวบอกกับญาติมิตรไปทั่วว่า สายตาของผมหลังการผ่าตัดนั้นดีขึ้นมาก ทั้งที่จริงแล้วมันแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย หลายเดือนต่อมาการมองเห็นของผมแย่ลงเรื่อย ๆ ซึ่งแสดงว่าเซลล์รับแสงในจอประสาทตายังคงเสื่อมสภาพและตายไปอยู่ทุกขณะ

ปัจจุบันนี้วงการแพทย์ยังคงไม่มีวิธีรักษาโรคอาร์พีให้หายขาด เว้นแต่การทำยีนบำบัดที่ได้ผลเฉพาะกับผู้ป่วยที่มีความบกพร่องของยีนบางตัวเท่านั้น แต่สภาพการณ์ที่สิ้นหวังเช่นนี้ กลับเปิดโอกาสให้ขบวนการลวงโลกอวดอ้างว่าตนมีวิธีพิเศษในการรักษา โดยกลุ่มผู้ให้ความหวังจอมปลอมเหล่านี้มีอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นที่รัสเซีย ฉนวนกาซาในปาเลสไตน์ หรือแม้แต่ที่นครไมอามีของสหรัฐฯ


รามาดาน ยูเนส ผู้สื่อข่าวบีบีซีที่ป่วยเป็นโรคอาร์พี ได้พูดคุยกับผู้ป่วยหลายสิบคนที่ตกเป็นเหยื่อของหมอลวงโลก

ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผมเฝ้าตามหาวิธีรักษาโรคอาร์พี ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ป่วยโรคเดียวกันหลายคน ตัวอย่างเช่นชายผู้หนึ่งที่อาศัยอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่ฉนวนกาซา เขาต้องพยายามรวบรวมเงินหลายพันดอลลาร์สหรัฐ โดยขอยืมจากบรรดาเพื่อนและญาติสนิท เพื่อเอาไปรักษาดวงตาด้วยวิธีฉีดน้ำตาลกลูโคสและวิตามิน รวมถึงใช้อุปกรณ์สั่นสะเทือนช่วยนวดดวงตา แต่ก็ไม่ดีขึ้น

ผู้ป่วยอีกคนที่ประเทศซูดานถูกหมอที่นั่นชักจูงให้เดินทางไปรัสเซียทุกปี เพื่อรับการฉีดวิตามินราคาหลายพันดอลลาร์ แต่เมื่อลองตรวจสอบเรื่องนี้ทางโทรศัพท์กับโรงพยาบาลดังกล่าวที่รัสเซีย เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งกลับยอมรับว่าวิธีฉีดวิตามินนั้นอาจไม่ได้ผล

แต่กรณีที่เหลือเชื่ออย่างยิ่ง ได้แก่การอวดอ้างของ นพ. เจฟฟรีย์ ไวส์ ซึ่งเปิดคลินิกอยู่ที่นครไมอามีของสหรัฐฯ เขาเผยแพร่คลิปวิดีโอซึ่งโฆษณาการผ่าตัดรักษาโรคอาร์พี โดยบอกว่า "ผมกำลังรักษาโรคที่ไม่อาจรักษาได้ ผมกำลังรักษาคนที่ไม่เคยมีความหวังใด ๆ มาก่อน" ซึ่งเป็นข้อความเท็จหลอกลวงผู้ป่วย ที่ไม่ควรจะมีอยู่ในระบบสาธารณสุขซึ่งมีการกำกับควบคุมอย่างเข้มงวดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

อันที่จริงการผ่าตัดรักษาของ นพ. ไวส์ ยังถือเป็นการทดลองระดับคลินิกอยู่ และยังไม่ใช่วิธีรักษาที่ผ่านการตรวจสอบหรือได้รับอนุมัติจากหน่วยงานของรัฐแล้วแต่อย่างใด ที่น่าสงสัยยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผู้ป่วยแต่ละรายที่สนใจเข้าร่วมการทดลอง จะต้องจ่ายเงินก้อนโตถึงเกือบ 700,000 บาท


นพ. สตีเวน เลวี (ซ้าย) อวดอ้างผลการรักษาที่ดีเยี่ยมกับยูเนส ซึ่งตรงข้ามกับคำบอกเล่าของผู้ป่วยส่วนใหญ่

พญ. จูดี คิม ประธานสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านจอประสาทตาอเมริกันบอกกับบีบีซีว่า การคิดเงินค่าเข้าร่วมการทดลองระดับคลินิกนั้น เป็นพฤติการณ์ทางจริยธรรมที่น่าตำหนิติเตียน และขัดกับแนวทางปฏิบัติที่ยอมรับกันในวงกว้าง

ผมแสร้งทำเป็นผู้ป่วยคนหนึ่งที่สนใจเข้าร่วมการทดลอง จนมีโอกาสได้พูดคุยกับนพ.สตีเวน เลวี "ประธานโครงการวิจัย" ของนพ. ไวส์ ผ่านทางวิดีโอคอล และได้แอบบันทึกการสนทนาครั้งนี้เอาไว้ด้วย

นพ.เลวีอธิบายว่า จะมีการนำเซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ออกจากไขกระดูกของผู้ป่วย แล้วฉีดเข้าไปใต้เปลือกตาเพื่อให้สเต็มเซลล์ผ่านเข้าถึงเรตินา หรือจอประสาทตาตรงด้านหลังของเบ้าตา เขายังอ้างว่านพ.ไวส์ ทำการผ่าตัดแบบนี้ให้กับผู้ป่วยมาแล้วถึง 700 คน โดยไม่มีผลข้างเคียง และผู้ป่วยส่วนใหญ่มีการมองเห็นที่ดีขึ้น


อาเหม็ด ฟารูกี บอกว่าตาซ้ายของเขามองไม่เห็นอีกต่อไป หลังรับการรักษาจาก นพ. เจฟฟรีย์ ไวส์

อย่างไรก็ตาม อาเหม็ด ฟารูกี อดีตผู้เข้าร่วมการทดลองของนพ. ไวส์ บอกว่าเขาสูญเสียการมองเห็นในตาซ้ายไปอย่างสิ้นเชิง หลังเข้ารับการผ่าตัดรักษาตามวิธีของจักษุแพทย์ลวงโลกผู้นี้ เหตุการณ์ที่เหมือนฝันร้ายดังกล่าวทำให้ฟารูกีพยายามเผยแพร่ประสบการณ์ของตนเองผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อเตือนผู้คนไม่ให้หลงเชื่อขบวนการให้ความหวังจอมปลอม

ฟารูกีฝากคำพูดของเขาไปถึงนพ. ไวส์ ว่า "หยุดทำลายอนาคตของผู้คนเสียที พอได้แล้ว" ผู้เข้าร่วมการทดลองอีกจำนวนมากยังบอกกับผมว่า พวกเขาต้องเจอผลข้างเคียงจากการผ่าตัดและการฉีดสเต็มเซลล์ โดยส่วนใหญ่มักมองเห็นสิ่งแปลกปลอมคล้ายฝุ่นละอองล่องลอยอยู่ในลูกตา

คนเหล่านี้ตกเป็นเหยื่อของขบวนการลวงโลก เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่อยู่ในสหรัฐฯ พบรายละเอียดของการทดลองดังกล่าวที่เว็บไซต์ของรัฐบาล Clinicaltrials.gov จึงทำให้ดูมีความน่าเชื่อถือ แม้จะมีคำเตือนสั้น ๆ ในเว็บไซต์ระบุว่า "รายชื่อของการศึกษาวิจัยที่แสดงบนเว็บไซต์นี้ อาจไม่ได้ผ่านการประเมินหรือรับรองจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯทั้งหมด"

เมื่อนำคลิปบันทึกการสนทนาระหว่างผมกับนพ. เลวี ไปให้อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางจักษุวิทยา 3 รายได้วิเคราะห์ ผลปรากฏว่านพ. ไบรอน หลำ จากสถาบันจักษุบาสคอม-พาลเมอร์ ที่นครไมอามีถึงกับบอกว่า วิธีผ่าตัดเอาสเต็มเซลล์จากไขกระดูกมาฉีดเข้าไปที่จอประสาทตานั้น "บ้าชัด ๆ" เพราะวิธีดังกล่าวไม่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง


นพ. โทมัส อัลบินี จากสถาบันจักษุบาสคอม-พาลเมอร์ แสดงความเห็นว่า "เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อได้ว่า ไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ เกิดขึ้นจากวิธีรักษาแบบนี้ มันมีความเสี่ยงอยู่มากทั้งในเรื่องการใช้ยาชาหรือยาสลบระงับความรู้สึก ไหนจะความเสี่ยงเรื่องการผ่าตัดนำไขกระดูกออกมา แถมมีความเสี่ยงต่อดวงตาจากการฉีดสเต็มเซลล์ด้วย"

ศ. โรเบิร์ต แม็กลาเรน จากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดของสหราชอาณาจักรบอกว่า "นี่ไม่ใช่การทดลองระดับคลินิกที่แท้จริงหรือได้มาตรฐาน ทั้งเป็นวิธีรักษาที่น่ากลัวว่าจะสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นแก่ผู้ป่วย แพทย์ที่รักษาในแบบดังกล่าวจะต้องหยุดเดี๋ยวนี้"
ภาพจากคลิปวิดีโอที่ นพ. เจฟฟรีย์ ไวส์ อ้างว่าเขาสามารถ "รักษาโรคที่รักษาไม่หาย" ได้สำเร็จ

หลังจากที่ผมเปิดเผยตัวกับ นพ. เลวี ว่าเป็นผู้สื่อข่าวบีบีซี และขอสัมภาษณ์ นพ. ไวส์ โดยตรง นพ. เลวี ได้เขียนอีเมลตอบกลับมาว่า "ความต้องการแสวงหาชื่อเสียงโด่งดังเพียงชั่วขณะของคุณ โดยมุ่งทำลายการศึกษาวิจัยของเรานั้น ช่างเหลือเกินอย่างไม่มีขอบเขตเสียจริง ๆ คุณคือความอัปยศของครอบครัวและผู้คนนับล้านทั่วโลก ที่ต้องทุกข์ทรมานจากโรคตาที่รักษาไม่หาย"

จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า เมื่อปี 2021 นพ. ไวส์ถูกเพิกถอนสมาชิกภาพอย่างถาวรจากสถาบันจักษุวิทยาอเมริกัน (AAO) หลังทางสถาบันได้ดำเนินการตรวจสอบ "การทดลองระดับคลินิก" ของเขาโดยละเอียด ซึ่งได้ข้อสรุปว่า นพ. ไวส์ ทำผิดกฎของสมาคม เนื่องจาก "ให้ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือนที่หลอกลวงประชาชน ให้ความหวังต่อผลการรักษาที่เกินจริง ละเมิดกฎของสมาคมโดยใช้วิธีรักษาโรคที่ขาดความปลอดภัยและไม่มีประสิทธิภาพตามที่อวดอ้าง"

ก่อนหน้านั้น นพ. เลวี ยังถูกยึดใบประกอบโรคศิลป์ในรัฐคอนเนตทิคัตและรัฐนิวยอร์กไปตั้งแต่ปี 2004 โดยกระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐฯ ตั้งข้อหาเพื่อเอาผิดกับเขาเรื่องละเมิดจริยธรรมวิชาชีพใน 41 กรณีด้วยกัน ซึ่งรวมถึงการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ขาดความสามารถในการประกอบวิชาชีพแพทย์ในหลายกรณี ใช้วิธีการหลอกลวงรักษาโรคและละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลาง ซึ่งนพ. เลวีก็มิได้โต้แย้งหรือยื่นอุทธรณ์แก้ต่างข้อกล่าวหาแต่อย่างใด

แม้จะมีช่องทางในการฟ้องร้องเอาผิดทางกฎหมายกับบรรดาจักษุแพทย์ลวงโลกได้ แต่แอนดรูว์ ยาฟฟา ทนายความผู้เชี่ยวชาญคดีทางการแพทย์บอกว่า เป็นเรื่องยากที่จะใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อหยุดยั้งคนทุจริตเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องการจะปิดคลินิกของพวกเขาในรัฐฟลอริดา

"มีผู้ป่วยที่ได้รับความเสียหายจากการรักษากว่า 15 รายแล้ว ที่มาปรึกษาผมในกรณีนี้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าการฟ้องร้องดำเนินคดีเกี่ยวกับการแพทย์ในรัฐฟลอริดานั้นซับซ้อนยุ่งยากและมีราคาแพงมาก" ยาฟฟากล่าว

"เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความเสียหายในดวงตาที่รุนแรงมากอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงยากที่ศาลจะตัดสินให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยก้อนโต ผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้ค่าเสียหายมาไม่พอกับค่าใช้จ่ายจิปาถะต่าง ๆ ในการฟ้องร้องดำเนินคดีด้วยซ้ำ"

ด้านองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ หรือเอฟดีเอ (FDA) นั้น ปัจจุบันยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อเอาผิดต่อนพ. ไวส์ และ นพ.เลวี เนื่องจากมีบุคลากรไม่เพียงพอ ส่วนข้อกำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของเอฟดีเอ ที่สามารถใช้เอาผิดหมอลวงโลกทั้งสองได้นั้น ยังคงคลุมเครือและขาดความชัดเจนที่จะนำไปลงโทษพวกเขาได้อย่างเด็ดขาด

อย่างไรก็ตาม เอฟดีเอมีแถลงการณ์ต่อกรณีดังกล่าวว่า "ธุรกิจที่อวดอ้างอย่างเกินจริงถึงประสิทธิภาพของเทคนิคเซลล์บำบัด (cell therapy) ทั้งที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์รับรอง เท่ากับว่าได้สร้างความเสียหายต่อผู้ที่กำลังมุ่งคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์สเต็มเซลล์ ซึ่งจะต้องปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ"

เอฟดีเอยังแถลงว่า "วิธีบำบัดรักษาด้วยสเต็มเซลล์ที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์รับรอง อาจไม่ปลอดภัยและนำไปสู่การติดเชื้อรุนแรง ทำให้ตาบอดสนิทหรือถึงกับเสียชีวิตได้"

ภาพขยายสเปิร์มมีการ “แท็กทีม” รวมพลังสู้ของเหลวในช่องคลอด


ภาพขยายสเปิร์มที่จับกลุ่มกันเพื่อเคลื่อนตัวไปข้างหน้า

เมื่อพูดถึงสเปิร์มหรือตัวอสุจิ หลายคนมักจะคิดถึงเซลล์สืบพันธุ์ตัวจิ๋วในการแข่งขันว่ายน้ำครั้งสำคัญ ซึ่งสเปิร์มแต่ละตัวจะต้องต่อสู้ไปอย่างโดดเดี่ยว เพื่อให้ได้ชัยชนะจากการเข้าเส้นชัยเป็นตัวแรก และเป็นตัวเดียวที่ได้เข้าผสมกับไข่

แต่ผลการศึกษาล่าสุดของนักชีววิทยาอเมริกันกลับพบว่า สเปิร์มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิด ไม่ได้ลงสนามแข่งขันแบบหมาป่าเดียวดายเสมอไป แต่มีกลวิธี “แท็กทีม” จับกลุ่มช่วยเหลือกันในบางช่วง เพื่อให้เคลื่อนตัวผ่านของเหลวในช่องคลอดที่เป็นอุปสรรคไปได้ง่ายขึ้น

รายงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Cell and Developmental Biology ระบุว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยคอร์แนลและ North Carolina A&T State University ของสหรัฐฯ ได้ทดลองให้สเปิร์มของวัวจำนวนหลายล้านตัวว่ายแข่งขันกันในสภาพแวดล้อมของห้องปฏิบัติการ โดยจำลองให้สนามแข่งขันดังกล่าวมีลักษณะใกล้เคียงกับช่องคลอดและมดลูกตามธรรมชาติมากที่สุด

นอกจากนี้ ของเหลวดังกล่าวยังมีการไหลเวียนเพื่อต้านความเคลื่อนไหวของสเปิร์มเป็นระยะอีกด้วย ทำให้สเปิร์มของสัตว์บางชนิดอย่างเช่นหนูไม้ (wood mouse) พัฒนาอวัยวะคล้ายตะขอเกี่ยวที่ส่วนหัว เพื่อคล้องเข้ากับสเปิร์มตัวที่อยู่ใกล้กันจนสามารถจับกลุ่มเป็นขบวนใหญ่นับแสนตัว และเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ดีขึ้น

ผลการทดลองครั้งล่าสุดปรากฏว่า สเปิร์มวัวที่มีการจับกลุ่มกันหลายตัวจะแหวกว่ายเป็นเส้นตรงไปข้างหน้า โดยมีการเลี้ยวเบนเบี่ยงทิศทางหรือกลับหลังหันน้อยครั้งกว่าสเปิร์มที่แหวกว่ายเพียงลำพังอย่างมาก

การทำงานเป็นทีมของสเปิร์มเปรียบเสมือนการจับกลุ่มของนักปั่นจักรยานเพื่อเข้าเส้นชัย

ในภาวะที่ของเหลวหนืดภายในช่องคลอดจำลองมีการไหลอ่อน ๆ สเปิร์มที่ว่ายเป็นกลุ่มจะจัดรูปขบวนให้เป็นระเบียบมากขึ้น ดูคล้ายกับฝูงปลาแซลมอนที่ว่ายทวนน้ำ แต่หากของเหลวภายในช่องคลอดจำลองไหลแรงขึ้นไปอีก ขบวนสเปิร์มจะเกาะกลุ่มกันหนาแน่นขึ้นเพื่อไม่ให้ถูกพัดพาไปกับกระแสของเหลวดังกล่าว

ดร. ตุง จีกวน หนึ่งในสมาชิกทีมวิจัยกล่าวอธิบายว่า “การจับกลุ่มแหวกว่ายเป็นทีมของสเปิร์มเหล่านี้ ไม่ได้มุ่งหวังให้เคลื่อนที่เร็วขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการผ่อนแรงประหยัดพลังงานอีกด้วย คล้ายกับการจับกลุ่มเข้าขบวน peloton formation ของนักปั่นจักรยาน ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่ในกลุ่มได้ประโยชน์จากการสร้างรูปทรงลู่ลมหรือต้านลมเป็นระยะ”

ทีมผู้วิจัยยังคงต้องการศึกษาเพิ่มเติมในเรื่องนี้ต่อไปอีก ซึ่งจะช่วยเพิ่มพูนความรู้และพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเจริญพันธุ์ให้ก้าวหน้ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการคัดเลือกสเปิร์มเพื่อปฏิสนธินอกร่างกายหรือการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งมักพบความล้มเหลวหรือได้ผลไม่ดีนัก เนื่องจากกระบวนการดังกล่าวขาดอุปสรรคที่ปกติมีไว้สำหรับการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection)

เครื่องบิน 2 ลำพบยูเอฟโอสีเขียวสดใสลึกลับบินโฉบผ่านเมฆเหนือน่านฟ้าแคนาดา

เครื่องบิน 2 ลำพบยูเอฟโอสีเขียวสดใสลึกลับบินโฉบผ่านเมฆเหนือน่านฟ้าแคนาดา

ยูเอฟโอ (UFO) เป็นคำที่ใช้อ้างอิงถึงวัตถุบินได้ที่ไม่สามารถระบุได้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้สื่อถึงอากาศยานจากอารยธรรมต่างดาว แต่บางครั้งมันก็ดูน่าเหลือเชื่อเกินกว่าที่จะเป็นสิ่งที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ได้

คุณเชื่อไหมว่ามีมนุษย์ต่างดาวและจานบิน UFO ที่เห็นๆอยู่นั้นต้องเป็นของมนุษย์ต่างดาวแน่นอน...แต่มนุษย์ก็ยังไม่สามารถที่จะจับตัวหรือว่าจะสื่อสารพูดคุยกับมนุษย์ต่างดาวได้จริงๆ

ได้แต่มีภาพถ่ายและคลิปวีดีโอเท่านั้นที่เป็นหลักฐานยืนยัน...แต่มันก็คงจะเป็นที่แน่ใจแล้วว่าสิ่งต่างๆที่เห็นนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นแน่นอนเพราะมันมีวิทยาการเหนือกว่าประดิษฐ์ยสนบินของมนุษย์มาก

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา นักบินของเครื่องบิน 2 ลำที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันรายงานตรงกันว่าพวกเขาพบเห็นยูเอฟโอสีเขียวลึกลับบินหายเข้าไปในก้อนเมฆเหนืออ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์บนชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของแคนาดา

ตามรายงานที่ระบุผ่านบันทึกข้อมูลการบินของรัฐบาลแคนาดาระบุว่า เครื่องบินลำแรกเป็นเครื่องบินทหาร ส่วนอีกลำเป็นเครื่องบินพาณิชย์ และทั้ง 2 ลำได้พบกับ “วัตถุบินได้สีเขียวสดใส” ที่บินโฉบในก้อนเมฆแล้วหายไป ซึ่งมันได้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบินของเครื่องบินทั้ง 2 แต่อย่างใด

ลำแรกเป็นเครื่องบินทหารที่ต้องบินจากฐานทัพในออนแทรีโอไปยังโคโลญประเทศเยอรมนี ส่วนเครื่องบินอีกลำเป็นของสายการบิน KLM Royal Dutch ที่บินจากบอสตันไปอัมสเตอร์ดัม

สเตฟาน วัตกินส์ นักวิจัยด้านการบินและการเดินเรือตรวจสอบช่องสัญญาณดาวเทียมจากเครื่องบินทั้ง 2 ลำ และพบว่าเครื่องบินทหารมีการไต่ระดับให้สูงขึ้นไปอีก 1,000 ฟุตในช่วงจังหวะที่เห็นยูเอฟโอ กัปตันเครื่องบินอาจกำลังหลบหลีกวัตถุดังกล่าวหรือต้องการมองเห็นมันให้ชัดขึ้น

ในขณะที่ยูเอฟโออาจเป็นสิ่งที่เราสามารถอธิบายได้ เช่นมันอาจเป็นอุกกาบาตที่พุ่งผ่านท้องฟ้า เพราะช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเริ่มต้นของฝนดาวตกเพอร์เซอิด แต่วัตกินส์กล่าวว่า อย่าเพิ่งไปฟันธงว่ามันคืออะไร

โดยทางรัฐบาลแคนาดาติดป้ายเคสนี้เอาไว้ว่ามันอาจเป็น “บอลลูนตรวจอากาศ ดาวตก จรวด หรือยูเอฟโอ” ก็เป็นได้

สิ่งที่กระทรวงกลาโหมของแคนาดาแตกต่างจากกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ คือพวกเขาไม่ติดตามการพบเห็นยูเอฟโอแต่อย่างใด

ดูเหมือนว่าโลกของเรากำลังเข้าใกล้ข้อมูลเกี่ยวกับยูเอฟโอเข้าไปมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทางเพนตากอนได้เผยแพร่รายงานที่หลายคนรอคอยมานาน นั่นคือการพบเห็นยูเอฟโอมากกว่า 140 ครั้งโดยนักบินของกองทัพสหรัฐฯ

แต่หลายคนเชื่อว่ารายงานเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกกลั่นกรองเอาไว้หมดแล้วว่าสามารถเปิดเผยต่อสาธารณชนได้โดยไม่เกิดปัญหาใด ๆ ในขณะที่ข้อมูลลับสุดยอดอาจถูกเก็บซ่อนเอาไว้ต่อไป

เป็นการค้นพบที่สนใจมากๆเมื่อพบฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์อายุ 12,000 ปีฝังประทับรอยบนพื้น ในรัฐยูทาห์

เป็นการค้นพบที่สนใจมากๆเมื่อพบฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์อายุ 12,000 ปีฝังประทับรอยบนพื้น ในรัฐยูทาห์

ทีมนักวิจัยได้ค้นพบฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์จำนวน 88 รอยในทะเลทรายตะวันตกของรัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา

เป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้นและตื่นตลึงมากที่สุดและ เป็น ที่น่าสนใจของนักโบราณคดีอย่างมากเมื่อค้นพบฟอสซิลรอยเท้ามนุษย์จำนวน 88 รอยในทะเลทรายตะวันตกของรัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา นี่มันคือรอยเท้าในอดีตที่นานแสนนานเมื่อมนุษย์โบราณเดินย่ำลงไปแล้วมันก็ฝัวรอยเท้าเป็นอมตะนิรันดร์กาลจนมาถึงปัจจุบันและมีการค้นพบ

ดร. Daron Duke พูดคุยกับผู้เยี่ยมชมแหล่งโบราณคดีใน Utah Test and Training Range เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2022 Image credit: R. Nial Bradshaw, US Air Force

รอยเท้ามนุษย์ที่เพิ่งค้นพบนี้มีอายุประมาณ 12,000 ปี (ยุคไพลสโตซีน)

พวกเขาถูกพบในแฟลตอัลคาไลในUtah Test and Training Rangeซึ่งเป็นพื้นที่ทดสอบและฝึกทางทหารประมาณ 130 กม. (80 ไมล์) ทางตะวันตกของซอลท์เลคซิตี้ ยูทาห์

Anya Kitterman นักโบราณคดีและผู้จัดการทรัพยากรวัฒนธรรมของ ฐานทัพอากาศฮิลล์รัฐยูทาห์กล่าวว่า "เราพบอะไรมากกว่าที่คิดไว้"

ดร. ดารอน ดุ๊กหัวหน้านักวิจัยของ Far Western Anthropological Research Group, Inc. กล่าวว่า "สิ่งที่น่าประหลาดใจและบอกเล่ามากที่สุดเกี่ยวกับการพบรอยเท้าคือข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของกลุ่มครอบครัวเมื่อหลายพันปีก่อน"

“จากการขุดค้นภาพพิมพ์หลายภาพ เราพบหลักฐานของผู้ใหญ่กับเด็กอายุประมาณ 5 ถึง 12 ปี ที่ทิ้งรอยเท้าเปล่าไว้”

“ดูเหมือนผู้คนกำลังเดินอยู่ในน้ำตื้น ทรายถมรอยพิมพ์ของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหมือนกับที่คุณอาจพบบนชายหาด แต่ใต้ผืนทรายมีชั้นโคลนที่ทำให้รอยพิมพ์ยังคงอยู่หลังจากเติมลงไป”

“ไม่มีสภาพพื้นที่ชุ่มน้ำที่จะสร้างทางวิ่งในพื้นที่ห่างไกลของทะเลทรายเกรตซอลท์เลคตั้งแต่อย่างน้อยประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว” เขากล่าวเสริม

“ฉันชอบเรียกสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเก่าว่าเป็น 'โอเอซิสที่สาบสูญ' เพราะพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดใหญ่ที่อุดมสมบูรณ์นี้แตกต่างจากพลายาที่แห้งแล้งในทุกวันนี้มากน้อยเพียงใด”

“ในขณะที่เราเผชิญกับความท้าทายในวันนี้ด้วยการสูญเสียน้ำใน Great Salt Lake และทั่ว Desert West พื้นที่ดังกล่าวเป็นตัวอย่างที่ใกล้เคียงจากอดีตว่าสิ่งต่าง ๆ สามารถเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันได้อย่างไร”

“แม้ว่าปัจจุบันพื้นที่นี้จะเป็นส่วนหนึ่งของสนามทดสอบและฝึกอบรมยูทาห์ แต่ในหลาย ๆ ทาง พื้นที่แห่งนี้ก็ทำหน้าที่เป็นพื้นที่อนุรักษ์สำหรับแหล่งโบราณคดีเหล่านี้” ดร. ดุ๊กกล่าว

ในขณะที่นักวิจัยกำลังตื่นเต้นกับการค้นพบรอยเท้า แต่ก็ยังมีงานต่อไปรออยู่

ซึ่งจะรวมถึงการอนุรักษ์และปกป้องสิ่งนี้และการค้นพบที่สำคัญอื่นๆ จากลมที่พัดและการกัดเซาะที่สามารถทำลายสิ่งเหล่านี้ได้ช้าๆ

“เราได้รวบรวมภาพพิมพ์เพิ่มเติมเพื่อดูว่าเราสามารถหาวัสดุอินทรีย์จนถึงวันที่เรดิโอคาร์บอนได้หรือไม่” ดร. ดุ๊กกล่าว

“เราต้องการให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพพิมพ์ว่าใครเป็นกลุ่มและพวกเขาใช้พื้นที่อย่างไร”

"เรากำลังพูดคุยกับชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันเกี่ยวกับมุมมองของพวกเขาเกี่ยวกับภาพพิมพ์

นักวิจัยเผย ศิลปะที่เก่าแก่ที่สุดในโลกสร้างโดยมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล

นักวิจัยเผย ศิลปะที่เก่าแก่ที่สุดในโลกสร้างโดยมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล

งานศิลปะเป็นของคู่โลกแม้แต่มนุษย์โบราณอย่างมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลก็ยังสามารถสร้างสรรค์งานศิลปะของตนเองขึ้นมาได้มันจึงกลายเป็นงานศิลปะที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

ศิลปะนีแอนเดอร์ทัลอาจเป็นนามธรรมมากกว่ารูปโปรเฟสเซอร์และภาพวาดถ้ำสัตว์ที่โฮโมเซเปียนสร้างขึ้นหลังจากที่นีแอนเดอร์ทัลหายไปเมื่อประมาณ 30,000 ปีที่แล้ว แต่นักโบราณคดีเริ่มชื่นชมว่าศิลปะนีแอนเดอร์ทัลมีความสร้างสรรค์เพียงใด

🖼️ถ้ำ La Pasiega ส่วน C ผนังถ้ำพร้อมภาพวาด: รูปทรงบันไดประกอบด้วยเส้นแนวนอนและแนวตั้งสีแดง (ซ้ายกลาง) มีอายุเก่าแก่กว่า 64,000 ปีและสร้างขึ้นโดยมนุษย์ยุคหิน 

ประชากรนีแอนเดอร์ทัลในยุโรปสืบย้อนไปอย่างน้อย 400,000 ปี

เมื่อ 250,000 ปีที่แล้ว นีแอนเดอร์ทัลได้ผสมแร่ธาตุต่างๆ เช่น แร่เฮมาไทต์ (สีเหลืองสด) และแมงกานีสกับของเหลวเพื่อสร้างสีแดงและสีดำ ซึ่งสันนิษฐานว่าใช้ตกแต่งร่างกายและเสื้อผ้า

ในปี 1990 การวิจัยโดยนักโบราณคดีได้เปลี่ยนมุมมองทั่วไปของนีแอนเดอร์ทัลว่าเป็นคนโง่เขลาอย่างสิ้นเชิง

ตอนนี้เรารู้แล้วว่า ห่างไกลจากความพยายามที่จะไล่ตามโฮโม เซเปียนส์พวกมันมีวิวัฒนาการทางพฤติกรรมที่เหมาะสมยิ่งในตัวเอง สมองขนาดใหญ่ของพวกเขาได้รับการอนุรักษ์วิวัฒนาการ

เรารู้จากการพบซากศพในถ้ำใต้ดิน รวมถึงรอยเท้าและหลักฐานการใช้เครื่องมือและสารสีในสถานที่ที่มนุษย์ยุคหินไม่มีเหตุผลชัดเจนว่าพวกเขาดูเหมือนจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกของพวกเขา

เหตุใดพวกเขาจึงพลัดหลงจากโลกแห่งแสงไปสู่ความลึกที่อันตรายซึ่งไม่มีอาหารหรือน้ำดื่ม

เราไม่สามารถพูดได้อย่างแน่นอน แต่เนื่องจากบางครั้งสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการสร้างงานศิลปะบนผนังถ้ำ มันอาจมีความหมายในทางใดทางหนึ่งมากกว่าแค่การสำรวจ

นีแอนเดอร์ทัลอาศัยอยู่ในกลุ่มเล็ก ๆ ที่แน่นแฟ้นและเป็นชนเผ่าเร่ร่อน

เมื่อพวกเขาเดินทาง พวกเขาแบกถ่านที่คุไปด้วยเพื่อจุดไฟเล็กๆ ที่เพิงหินและริมฝั่งแม่น้ำที่พวกเขาตั้งค่ายอยู่ พวกเขาใช้เครื่องมือเพื่อถางหอกและซากเนื้อของพวกเขา

เราควรคิดว่าพวกเขาเป็นกลุ่มครอบครัวที่รวมตัวกันโดยการเจรจาและการแข่งขันระหว่างผู้คนอย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าจะถูกจัดเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่จริงๆ แล้วโลกของปัจเจกบุคคล

วิวัฒนาการของวัฒนธรรมการมองเห็นของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลเมื่อเวลาผ่านไปบ่งบอกว่าโครงสร้างทางสังคมของพวกเขากำลังเปลี่ยนไป

พวกเขาใช้สีและเครื่องประดับตกแต่งร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ

🖼️ในถ้ำ Ardales ใกล้เมืองมาลากา ประเทศสเปน มนุษย์ยุคหินระบายสีส่วนเว้าของหินย้อยสีขาวสว่าง เครดิตรูปภาพ: Universitat de Barcelona

ขณะที่ฉันอธิบายรายละเอียดในหนังสือของฉันHomo sapiens ค้นพบอีกครั้งนีแอนเดอร์ทัลตกแต่งร่างกายของพวกเขา บางทีอาจเป็นเพราะการแข่งขันเพื่อเป็นผู้นำกลุ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น

สีและเครื่องประดับสื่อถึงความแข็งแกร่งและอำนาจ ช่วยให้บุคคลโน้มน้าวใจผู้ร่วมสมัยถึงความแข็งแกร่งและความเหมาะสมในการเป็นผู้นำ

จากนั้นอย่างน้อย 65,000 ปีที่แล้ว มนุษย์ยุคหินใช้เม็ดสีแดงเพื่อวาดรอยบนผนังถ้ำลึกในสเปน

ในถ้ำ Ardales ใกล้มาลากาทางตอนใต้ของสเปน พวกเขาระบายสีส่วนเว้าของหินย้อยสีขาวสว่าง

ในถ้ำ Maltravieso ใน Extremadura ทางตะวันตกของสเปน

และในถ้ำ La Pasiega ใน Cantabria ทางตอนเหนือ นีแอนเดอร์ทัลคนหนึ่งสร้างสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้วยการกดปลายนิ้วที่มีเม็ดสีปกคลุมซ้ำๆ กับผนัง

เราไม่สามารถเดาความหมายเฉพาะของเครื่องหมายเหล่านี้ได้ แต่พวกเขาแนะนำว่ามนุษย์ยุคหินมีจินตนาการมากขึ้น

ต่อมาเมื่อประมาณ 50,000 ปีที่แล้ว มีเครื่องประดับส่วนตัวมาประดับร่างกาย

สิ่งเหล่านี้ถูกจำกัดไว้เฉพาะส่วนของร่างกายสัตว์เท่านั้น — จี้ที่ทำจากฟันของสัตว์กินเนื้อ เปลือกหอย และเศษกระดูก

สร้อยคอเหล่านี้คล้ายกับที่Homo sapiens สวมใส่ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจสะท้อนถึงการสื่อสารร่วมกันที่เรียบง่ายซึ่งแต่ละกลุ่มสามารถเข้าใจได้

วัฒนธรรมการมองเห็นของนีแอนเดอร์ทัลแตกต่างจากของโฮโม เซเปียนส์หรือไม่? ฉันคิดว่ามันน่าจะทำได้แม้ว่าจะไม่ซับซ้อนก็ตาม

พวกเขาผลิตงานศิลปะที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างมานับหมื่นปีก่อนที่โฮโม เซเปียนส์ จะมา ถึงยุโรป ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาสร้างมันขึ้นมาอย่างอิสระ

แต่มันแตกต่างกัน เรายังไม่มีหลักฐานว่านีแอนเดอร์ทัลผลิตงานศิลปะที่เป็นรูปเป็นร่าง เช่น ภาพวาดคนหรือสัตว์ ซึ่งอย่างน้อยเมื่อ 37,000 ปีที่แล้วถูกผลิตขึ้นอย่างกว้างขวางโดยกลุ่มโฮโม เซเปียนส์ ซึ่งจะมาแทนที่ในยูเรเซียในที่สุด

ศิลปะเชิงอุปมาอุปไมยไม่ใช่สัญลักษณ์ของความทันสมัย ​​และการไม่มีศิลปะนี้บ่งบอกถึงความดั้งเดิม

นีแอนเดอร์ทัลใช้วัฒนธรรมภาพในลักษณะที่แตกต่างไปจากผู้สืบทอด

สีและเครื่องประดับของพวกเขาเสริมสร้างข้อความเกี่ยวกับกันและกันผ่านร่างกายของพวกเขาเองมากกว่าการพรรณนาถึงสิ่งต่างๆ

อาจเป็นเรื่องสำคัญที่สปีชีส์ของเราไม่ได้สร้างภาพสัตว์หรือสิ่งอื่นใดจนกระทั่งหลังจากที่นีแอนเดอร์ทัล เดนิโซแวนและกลุ่มมนุษย์อื่นๆ สูญพันธุ์ไป

ไม่มีใครเคยใช้มันในยูเรเซียที่ผสมทางชีวภาพเมื่อ 300,000 ถึง 40,000 ปีที่แล้ว

แต่ในแอฟริกา มีการเปลี่ยนแปลงในหัวข้อนี้ บรรพบุรุษยุคแรกๆ ของเราใช้สีของตัวเองและเครื่องหมายที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างเพื่อเริ่มอ้างถึงสัญลักษณ์ที่ใช้ร่วมกันของกลุ่มทางสังคม เช่น กลุ่มเส้นซ้ำๆ ซึ่งเป็นรูปแบบเฉพาะ

ศิลปะของพวกเขาดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับปัจเจกชนและเกี่ยวกับชุมชนมากขึ้น โดยใช้สัญลักษณ์ที่ใช้ร่วมกัน เช่น เครื่องหมายที่สลักบนก้อนดินสีเหลืองสดในถ้ำ Blombos ในแอฟริกาใต้ เช่น การออกแบบของชนเผ่า

ชาติพันธุ์เกิดขึ้นใหม่ และกลุ่มต่างๆ ที่รวมตัวกันโดยกฎและอนุสัญญาทางสังคม จะเป็นทายาทของยูเรเซีย

พอล เพตต์. Homo sapiens ค้นพบอีกครั้ง: การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์เขียนต้นกำเนิดของเราใหม่ เทมส์และฮัดสัน

รายการบล็อกของฉัน