Custom Search

บทความที่ได้รับความนิยม

Translate

บิ๊กฟุตตัวเล็ก (The Little Bigfoot)

บิ๊กฟุตตัวเล็ก (The Little Bigfoot)

ทหารอเมริกันในสงครามเวียดนาม.

จอห์น แม็คคินนอน นักสัตววิทยาชาวอังกฤษ โด่งดังขึ้นในช่วงปี 1990 เมื่อเขามีส่วนช่วยค้นพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสามชนิดใหม่ที่ยังไม่มีการค้นพบจากเขตอนุรักษ์ธรรมชาติวูกวาง (Vu Quang Nature Reserve) 


อันห่างไกลของเวียดนาม แต่จากหนังสือปี 1974 ของเขา ในเรื่องการค้นหาตัวลิงแดง (The Red Ape) แม็คคินนอนกล่าวว่า อาจมีสิ่งมีชีวิตที่มากกว่าคำว่าธรรมดาซ่อนตัวอยู่ในป่าฝนของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีก...

แม็คคินนอนเล่าว่า ครั้งหนึ่งที่เขากำลังเดินทางผ่านป่าในรัฐซาบาห์ มาเลเซีย “ผมเห็นภาพที่ทำให้ผมหยุดนิ่งราวกับไร้ลมหายใจ มันสร้างความประหลาดใจจนผมต้องคุกเข่าลงตรวจสอบอย่างใกล้ชิด มันคือรอยเท้าบนพื้นดิน คล้ายรอยเท้ามนุษย์เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่มนุษย์ หัวแม่เท้าดูเหมือนของคนเช่นเดียวกับส้นเท้า แต่ฝ่าเท้าสั้นและกว้างเกินไปที่จะ เป็นคน และหัวแม่เท้าใหญ่ก็อยู่ด้านตรงข้ามของส่วนที่ควรจะเป็นโค้งฝ่าเท้า 

มันทำเอาผมขนลุกซู่ ปรารถนาจะหันหัวกลับบ้านอย่างแรงขึ้นมาทันที ผมเล่าเรื่องนี้ให้คนเรือฟัง แต่คนเรือของผมดูไม่แปลกใจเลย เขาบอกว่า รอยเท้านั้นเป็นของคนป่า 

หรือบาทาทุต (Batatut)”

“ผมไม่สบายใจเมื่อพบมัน และไม่อยากติดตามไปค้นหาสิ่งที่เป็นปลายทาง ผมรู้ว่าไม่มีสัตว์ใดที่เรารู้จัก จะสามารถทำให้เกิดรอยทางอย่างนั้นได้ แต่โดยไม่ทันนึกว่าจะหลีกเลี่ยงพื้นที่นั้นเป็นพิเศษน่าเสียดายว่า การสำรวจเดือนต่อๆ มาผมเพิ่งตระหนักว่าจะไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลย”

ประสบการณ์ของแม็คคินนอนทำให้เกิดความสนใจในวงกว้างถึงตำนานของบาทาทุต บิ๊กฟุตขนาดเล็กที่คาดว่าน่าจะซ่อนตัวอยู่ในป่าของเกาะบอร์เนียวและภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งก็น่าจะช่วยอธิบายได้ถึงเรื่องที่บันทึกไว้ในหนังสือ

 “แปลกแต่จริง-เรื่องราวในสงครามเวียดนาม” ของเครกก์ พี เจ จอร์เกนสัน (Kregg P.J.Jorgenson) เล่าว่าทหารอเมริกันหกคนลาดตระเวนในป่าลึกของเวียดนาม เมื่อพวกเขาแลเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดอย่างหนึ่งคล้ายลิง สูงราว 150 เซนติเมตร ทั้งตัวเต็มไปด้วยขนรุงรังสีแดง เดินตัวตรงผ่านที่แจ้ง ทหารคาดว่ามันอาจจะเป็นอุรังอุตัง แต่ต่อมาจึงนึกได้ว่า ไม่มีลิงอุรังอุตังในเวียดนาม
น่าเศร้า...

"โถหัวมนุษย์" อายุร่วม 1,800 ปี นักโบราณคดีขุดค้นพบที่หมู่บ้าน Boyanovo ในทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศบัลแกเรีย

"โถหัวมนุษย์" อายุร่วม 1,800 ปี นักโบราณคดีขุดค้นพบที่หมู่บ้าน Boyanovo ในทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศบัลแกเรีย

ภายในหมู่บ้านชื่อ Boyanovo หมู่บ้านในทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศบัลแกเรีย ทีมนักโบราณคดีจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งบัลแกเรียได้ทำการค้นพบโครงกระดูกของ “แฟนกีฬาโบราณ” คนหนึ่ง พร้อมๆ กับโถอายุร่วม 1,800 ปี ที่ถูกหล่อขึ้นเป็นรูปศีรษะมนุษย์

โถสุดแปลกนี้ ถูกอธิบายโดยผู้เชี่ยวชาญว่าในอดีตถูกเรียกว่า “Balsamarium” โดยมันเป็นภาชนะที่ออกแบบมาเพื่อใส่ของเหลวอย่างยาหม่องหรือน้ำหอม และมาจากช่วงเวลาเดียวกับที่โรมันบุกยึดพื้นที่ “เธรซ” ซึ่งในปัจจุบันคือพื้นที่ตอนใต้ของบัลแกเรียไปจนถึงบางส่วนของกรีซและตุรกี 

อ้างอิงจากนักโบราณคดี โถชิ้นนี้ ทำขึ้นจากทองเหลือง และถูกหล่อโดยใช้ใบหน้าของคนในอดีตผู้จุดเด่นอยู่ที่จมูก ซึ่งอาจจะหักหรืองอจากการต่อสู้และยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์นัก และมีการสวมผ้าคลุมที่คาดว่าทำจากหนังสัตว์อย่างเสือดำหรือเสือดาวอีกที

บาดแผลที่จมูกเช่นนี้เป็นสัญลักษณ์ที่พบได้บ่อยๆ ในนักมวยปล้ำหรือนักมวย ในขณะที่ผ้าคลุมหนังสัตว์ตระกูลแมวใหญ่มักจะถูกใช่งานเพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่านักสู้คนนั้นๆ แข็งแกร่งราวกับเฮอร์คิวลีสอีกที 

ส่วนโครงกระดูกที่ถูกฝังไว้ใกล้ๆ โถหน้าคน เป็นของชายหนุ่มอายุราวๆ 35-40 ปีซึ่งถูกฝังไว้พร้อมๆ กับมีดโบราณที่ใช้ในการขูดเหงื่อและสิ่งสกปรกออกจากผิวหนัง ซึ่งนักโบราณคดีเชื่อว่าน่าจะเป็นขุนนางชาวเธรซซึ่งรักในการกีฬา มากกว่าที่จะเป็นนักกีฬาหรือคนที่เป็นต้นแบบของโถหน้าคนจริงๆ 

โดยร่างของเขานั้นถูกฝังไว้ในหลุมฝังศพภายในสุสานขนาดใหญ่สูง 3 เมตรซึ่งเรียกว่า Tumulus อีกที ซึ่งสุสานในรูปแบบนี้โดยปกติจะถูกใช้ในการฝังศพเป็นครอบครัวในสมัยนั้น

นับว่าน่าเสียดายที่ด้วยข้อมูลของโครงกระดูกที่พบมีอยู่อย่างจำกัด นักโบราณคดีในปัจจุบันไม่สามารถฟันธงเรื่องราวส่วนใหญ่ของชายคนนี้ได้ ถึงอย่างนั้นก็ตามการค้นพบในครั้งนี้ ก็ยังคงนับว่าเป็นอะไรที่แปลกและน่าสนใจมากๆ อยู่ดี

ความลับของ “Black Goo” มัมมี่สีดำ

(Djedkhonsiu-ef-ankh ภายใต้การเคลือบสารสีดำในโลงศพปิดทอง)

เมื่อปี 2019 นักวิจัยต่างตกตะลึงกับโลงศพมัมมี่โบราณ อายุกว่า 3,000 ปี ที่ไม่เคยถูกเปิดออกตั้งแต่สมัยราชวงศ์อียิปต์ที่ 19 (1,300 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งพบว่าภายในมีหีบมันมี่ถูกเคลือบด้วยสารสีดำปริศนา โดยหนึ่งในนั้นคือโลงศพของ " Djedkhonsiu-ef-ankh " ที่นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นนักบวชชื่อดัง เพราะโลงศพมัมมี่ของเขามีความแตกต่างจากมัมมี่ทั่วไป

โลงศพนี้ถูกค้นพบที่มหาวิหารคาร์นัค (Karnak) ซึ่งมัมมี่นักบวชร่างนี้ถูกตกแต่งด้วยแผ่นทองคำตรงบริเวณใบหน้า และลงลวดลายสีสันบริเวณลำตัว จากนั้นจะถูกเทของเหลวสีดำเหนียวข้นทับหีบมัมมี่ ก่อนจะนำไปใส่โลงศพเป็นขั้นตอนสุดท้าย เพื่อหาคำตอบว่าสารสีดำที่เคลือบหีบศพนั้นคืออะไร 

ดร.เคท ฟัลเชอร์ (Dr. Kate Falcher ) นักวิจัยจากศูนย์วิจัยด้านวิทยาศาสตร์ของพิพิธภัณฑ์อังกฤษ (British museum) ได้เก็บตัวอย่างของสารสีดำปริศนามาวิเคราะห์ ด้วยวิธีการแยกโมเลกุลด้วยเครื่อง GC-MS 

ผู้เชี่ยวชาญของ British museum ได้วิเคราะห์ตัวอย่างสารหนาสีดำมากกว่า 100 ตัวอย่างจากโลงศพและมัมมี่สิบสองชิ้น ซึ่งทั้งหมดมีอายุตั้งแต่ราชวงศ์ที่ 22 ในยุคกลางที่สาม (ค. 900–750 ปีก่อนคริสตกาล) โดยนำตัวอย่างขนาดเล็กและทำการวิเคราะห์ทางเคมีรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า

'Gas Chromatography - Mass Spectrometry (GC-MS)' คือทำให้ตัวอย่างแต่ละตัวอย่างเป็นไอและดันผ่านท่อยาวซึ่งจะแยกโมเลกุลจากตัวอย่าง

ที่ปลายท่อโมเลกุลจะต่อเข้ากับเครื่องสเปกโตรมิเตอร์มวลซึ่งแยกออกตามอัตราส่วนมวลต่อประจุ จากสิ่งนี้เราสามารถบอกได้ว่ามีโมเลกุลใดบ้างและมีปริมาณเท่าใด

อธิบายเป็นกระบวนการวิเคราะห์ดังนี้ 

- ขั้นแรกเปลี่ยนสถานะของสารตัวอย่างจากของเหลวให้กลายเป็นแก๊สด้วยเครื่อง GC (ซึ่งแก๊สที่ได้จะประกอบไปด้วยโมเลกุลขนาดเล็กจำนวนมากปะปนกัน)

– จากนั้นนำแก๊สที่ได้ส่งเข้าสู่เครื่อง MS เพื่อแยกโมเลกุล

– จนได้ส่วนประกอบของสารต่าง ๆ ซึ่งพบว่ามีส่วนผสมของ น้ำมันพืช, ไขมันสัตว์, ยางไม้, ขี้ผึ้ง และ น้ำมันดิบ และอาจเป็นไปได้ว่ามีส่วนผสมอย่างอื่นมากกว่าที่พบ แต่อาจจะระเหยหรือเสื่อมสลายหายไปแล้วตามกาลเวลา

เรื่องที่นักบวชร่างนี้ต้องถูกเคลือบด้วยสารสีดำ นักวิจัยสันนิษฐานความเป็นไปได้ว่า “อาจเชื่อมโยงกับความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณที่นับถือ เทพโอซิริส (Osiris) เทพแห่งความตายและการเกิดใหม่ หรืออีกชื่อที่เรียกกันคือ “The Black One” โดยตำราเทพอียิปต์โบราณกล่าวว่า เทพโอซิริสนั้นมีร่างกายสีดำและสวมหน้ากากลักษณะเดียวกันกับโลงศพมัมมี่ ดังนั้นการเทสารสีดำเคลือบโลงในลักษณะนี้ เชื่อว่าจะถือเป็นการนำทางให้ผู้ตายได้พบกับเทพโอซิริสที่เป็นสัญลักษณ์ของการกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง

นอกจากนั้น สีดำยังเป็นสีที่เกี่ยวข้องกับตะกอนดินที่ทับถมบนฝั่งแม่น้ำไนล์หลังจากน้ำท่วมประจำปีลดลง เนื่องจากดินที่สดใหม่และอุดมสมบูรณ์นี้มีสภาพแวดล้อมในอุดมคติที่เมล็ดพืชสามารถงอกและเติบโตได้จึงถูกมองว่าเป็นดินที่มีมนต์ขลังและเกิดใหม่ได้ ดังนั้นจึงมีแนวคิดที่เชื่อมโยงกันของสีดำ,โอซิริส และการเกิดใหม่

(ภาพระยะใกล้ของสารที่หนาที่รวมอยู่ที่ด้านล่างของโลงศพของ Djedkhonsiu-ef-ankh)

สารที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติบางอย่างที่ระบุได้บ่งชี้ว่าบางอย่างถูกนำเข้ามาในอียิปต์ และมีเรซินของต้นไม้สองชนิดที่พบในสารหนาสีดำคือ เรซินต้นพิสตาเซียและเรซินต้นสน Tree resin เป็นของเหลวที่ต้นไม้ผลิตขึ้นเพื่อตอบสนองต่อการบาดเจ็บซึ่งจะแข็งตัวเป็นของแข็งแบบเปราะ

รวมทั้ง Bitumen (น้ำมันดิน) ซึ่งเป็นคำที่ครอบคลุมสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันดิบ มีหลายแหล่งที่ทราบว่าของเหลวและของแข็งบางชนิดถูกนำมาใช้ในสมัยโบราณ น้ำมันดินทำมาจากสิ่งมีชีวิต (เช่นพืชสัตว์และสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว) ที่ตายและถูกบีบอัดเป็นเวลาหลายล้านปี เนื่องจากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้แตกต่างกันไปเนื่องจากสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นน้ำมันดินจึงแตกต่างกันไปในแต่ละที่

การตรวจสอบซากของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เรียกว่า 'ไบโอมาร์คเกอร์' ( Biomarkers) เป็นกุญแจสำคัญในการค้นหาแหล่งที่มาของน้ำมันดิน จากการเปรียบเทียบตัวบ่งชี้ทางชีวภาพในตัวอย่างสารที่หนากับสารที่มาจากแหล่งที่รู้จัก จะเห็นว่าน้ำมันดินนั้นมาจากทะเลเดดซี สิ่งนี้สมเหตุสมผลเมื่อตำราภาษากรีกโบราณกล่าวถึงก้อนน้ำมันดินที่เป็นของแข็งที่ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำของทะเลเดดซี และผู้คนก็พายเรือไปหาสิ่งเหล่านี้เพื่อตัดชิ้นส่วนและขายในอียิปต์

 

ทั้งนี้ มัมมี่ทุกร่างไม่ได้ถูกเคลือบสารสีดำ เพราะมีหลักฐานบอกเล่าว่ามีเพียงชนชั้นสูง หรือผู้ที่ได้รับการเคารพนับถืออยากให้กลับมาเกิดเท่านั้นจึงจะได้รับการเคลือบสารสีดำนี้ โดยโลงศพของฟาโรห์ตุตันคามุนก็ได้รับการเคลือบลักษณะนี้เช่นกัน

(ที่น่าสนใจคือมัมมี่ตัวแรกไม่ได้เกิดขึ้นที่อียิปต์ แต่เกิดขึ้นที่ประเทศชิลี คือ มัมมี่แห่งชินคอร์โร (Chinchorro) ซึ่งรักษาผู้เสียชีวิตโดยการบรรจุศพด้วยเส้นใยและฟาง เป็นชนเผ่าในประเทศชีลีที่มีตัวตนอยู่ในช่วงราว 9,000 ถึง 3,500 ปีมาแล้ว ซึ่งจากการขุดพบสุสานมัมมี่ในปี 1983 นักโบราณคดีระบุว่ามัมมี่ชินคอร์โรมีอายุประมาณ 7,000 ปี ซึ่งเก่าแก่กว่ามัมมี่แห่งอียิปต์ถึง 2 พันปี )

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยชั้นนำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคิงอับดุลลา (King Abdullah University) ยังได้ผลิตสารเคลือบปกปิดสีดำชื่อ “MXene” ที่ได้ไอเดียมาจากสารสีดำในโลงศพมัมมี่ Black Goo ซึ่งมีคุณสมบัติยืดหยุ่นได้มากถึง 35 เท่าจากขนาดเดิม ใช้สำหรับเคลือบพื้นผิวของสิ่งของที่ต้องการการเก็บรักษาและยืดอายุมากกว่าที่ใช้อยู่ทั่วไป

 

สารสีดำถูกใช้ในอียิปต์ตั้งแต่ 1,300 ถึง 750 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งน่าจะเชื่อมโยงกับการเกิดใหม่

(โลงศพของเด็กสาว Tjayasetimu)

รูปแกะสลักไม้นั่ง (Seated wooden) ที่มีหัวเป็นรูปเต่าจากหลุมฝังศพของ Ramesses I หรือ Seti I 

สารสีดำได้รับการวิเคราะห์เมื่อ 20 ปีก่อนและพบว่าทำจากเรซินต้นพิสตาเซีย 

อียิปต์ราชวงศ์ที่ 19 (1292 ปีก่อนคริสตกาล - 1189 ปีก่อนคริสตกาล) 

รูปแกะสลักลิงบาบูนไม้ที่ถูกปกคลุมไปด้วยสารสีดำ อียิปต์ราชวงศ์ที่ 18 (1549 / 1550–1292 ปีก่อนคริสตกาล)

จากการสแกนโลงที่ปิดผนึกของ Djedkhonsiu-ef-ankh เผยให้เห็นว่าศพยังอยู่ข้างในและไม่ได้รับความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ British museum 

กล่าวว่าไม่มีกระดูกหักที่ชัดเจนและปากยังปิดอยู่ หน้าท้องของเขาเต็มไปด้วยสิ่งที่ดูเหมือนจะมีส่วนผสมของทรายขี้เลื่อยและเรซินในระหว่างขั้นตอนการทำมัมมี่และมือของเขาวางไว้เหนือบริเวณอวัยวะเพศและขาก็ไม่มีรอยแตกหัก นอกจากนี้ยังมีเครื่องรางอัญมณีขนาดเล็กและรูปปั้นแมลงปีกแข็งวางไว้บนหน้าอก และวงแหวนที่มีแมลงปีกแข็งอยู่ระหว่างต้นขา

เป็นไปได้ว่า นักบวชอาจเจ็บปวดอย่างมากจากอาการทางกระดูกสันหลังและอาการข้อเข่าเสื่อมขั้นต้นก่อนที่จะเสียชีวิต

เกซาลาบาด หมู่บ้านในอัฟกานิสถาน มีเรื่องน่าเหลือเชื่อ ที่หมู่บ้านนี้สร้างขึ้นมาจากขีปนาวุธที่ยังไม่ระเบิดกว่า 400 ลูก

เกซาลาบาด หมู่บ้านในอัฟกานิสถาน มีเรื่องน่าเหลือเชื่อ ที่หมู่บ้านนี้สร้างขึ้นมาจากขีปนาวุธที่ยังไม่ระเบิดกว่า 400 ลูก

ชาวบ้านที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในอัฟกานิสถานนำขีปนาวุธตกค้างที่ยังไม่ระเบิดมาสร้างบ้าน

หมู่บ้านเกซาลาบาดในอัฟกานิสถาน มีเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อ หมู่บ้านนี้สร้างขึ้นมาจากขีปนาวุธที่ยังไม่ระเบิดกว่า 400 ลูก ชาวบ้านนำมันมาทำเป็นคาน, ที่กั้นประตู หรือไม่ก็สะพาน แต่ตอนนี้คณะปลดชนวนถูกส่งเข้ามาในพื้นที่

อับดุล ราห์มัน กลุ่มปลดชนวนระเบิดของเดนมาร์ก กล่าวว่า "ในบ้าน 1 หลัง เราพบจรวด 26 ลูก นั่นคือวัตถุระเบิด 1,200 กก. ถ้ามันเกิดระเบิดขึ้น ทั้งหมู่บ้านจะพังพินาศ"

ขีปนาวุธถูกทิ้งไว้โดยโซเวียต หลังสงครามช่วงทศวรรษ 1980


ผู้หญิงในหมู่บ้านกำลังเรียนรู้ถึงอันตรายของขีปนาวุธเป็นครั้งแรก

"เรามีระเบิดเหล่านี้ ติดอยู่กับปล่องไฟของเรา" ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าว

เมื่อถูกถามว่า "คุณยินดีที่จะให้คน นำมันออกไหม?"

เธอตอบว่า "ยินดีค่ะ ได้โปรด เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีค่ะ"

การกำจัดขีปนาวุธเป็นงานที่อันตรายอย่างยิ่ง พวกมันอ่อนไหวต่อการกระแทกและแรงกดดัน อาวุธถูกนำไปกำจัดทิ้งที่บริเวณพรมแดน ด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้

สตาร์ทอัพ สหรัฐอเมริกาผุดไอเดียAir Meat ผลิตเนื้อสัตว์ทำจากอากาศ รสชาติดีมีโปรตีนหวังช่วยแก้ปัญหาโลก


สตาร์ทอัพ สหรัฐอเมริกาผุดไอเดีย Air Meat ผลิตเนื้อสัตว์ทำจากอากาศ รสชาติดีมีโปรตีนหวังช่วยแก้ปัญหาโลก

Air Protein บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหารในสหรัฐอเมริกา ได้พัฒนาเนื้อทดแทนที่เรียกว่า Air Meat โดยเป็นเนื้อที่มีสวนผสมหลักมาจากธาตุต่างๆในอากาศ สัมผัสเหมือนเนื้อจริง อุดมโภชนา-โปรตีน หวังช่วยแก้ปัญหาโลก

โดย Dr. Lisa Dyson และ Dr. John Reed ได้แรงบันดาลใจจากงานวิจัยเก่าจากยุค 1960 ของ NASA ที่ผลิตอาหารให้นักบินอวกาศ โดยใช้แบคทีเรีย ที่สามารถเปลี่ยนก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นสารอาหารได้ พวกเขาได้นำกระบวนการนี้มาผลิตจริง

ซึ่ง Air Protein ได้นำอากาศ ที่มีส่วนประกอบของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน ไนโตรเจน น้ำ แร่ธาตุ และสารอาหาร ไปใช้เลี้ยงแบคทีเรียในถังหมักระบบปิด ผลที่ได้ออกมาคือ กรดอะมิโนที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นต่อร่างกาย เหมือนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ หลังจากนั้นได้สกัดออกมา และขึ้นรูป เลียนแบบให้มีรูปร่าง กลิ่น และรสสัมผัสที่คล้ายเนื้อสัตว์

โดยทางแบรนด์ชี้ว่า เนื้อ Air Meat มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ปริมาณโปรตีนสูงกว่าเนื้อสัตว์ทดแทนที่ทำมาจากพืช และเป็นสารอาหารที่ชาววีแกนทานได้

อุตสาหกรรมปศุสัตว์ ปัจจุบันมีปัญหามากมาย ทั้งเรื่องสวัสดิภาพสัตว์ การใช้ทรัพยากรอย่างมหาศาล ใช้พื้นที่มาก ปล่อยของเสีย และก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบันจึงมีการพัฒนาเนื้อทดแทนมากมาย ทั้งเนื้อจากพืช เนื้อเพาะในแล็บ หรือโปรตีนจากแมลง เนื้อจากอากาศนี้ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างเนื้อทดแทน ที่คิดมาเพื่อการใช้ทรัพยากรที่น้อย เพิ่มความมั่นคงทางอาหารในอนาคต และเพื่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

วัตถุจากโลกมนุษย์ 7 อย่าง ที่ถูกทิ้งไว้บน “ดวงจันทร์” เพื่อเป็นที่ระลึกว่ามนุษย์โลกเคยมาเยือน

วัตถุจากโลกมนุษย์ 7 อย่าง ที่ถูกทิ้งไว้บน “ดวงจันทร์” เพื่อเป็นที่ระลึกว่ามนุษย์โลกเคยมาเยือน

การเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์อาจเคยเป็นเรื่องที่ฟังดูเหลือเชื่อในอดีต แต่นับตั้งแต่ยุคสมัยของ “นีล อาร์มสตรอง” เป็นต้นมา มนุษย์เรามีโอกาสได้เดินทางไปเยือนดวงจันทร์หลายครั้งจนแทบจะนับไม่ถ้วน

เมื่อมีการไปเยือนของมนุษย์ก็ต้องมีร่องรอยอารยธรรมบางอย่างถูกทิ้งไว้ และนี่คือ 7 สิ่งสุดพิลึกที่ถูกทิ้งไว้ “บนดวงจันทร์”

ลูกกอล์ฟ

Alan Shepard คือนักบินอวกาศคนที่ 5 และเป็นผู้ที่มีอายุมากที่สุดที่เคยได้เดินทางไปเยือนดวงจันทร์ และในการเยือนครั้งนั้นเขาพกไม้กอล์ฟพร้อมลูกกอล์ฟขึ้นไปทดลองตีด้วย เขาเล่าว่าพอตีออกไปแล้วลูกกอล์ฟกระเด็นไป “หลายต่อหลายไมล์”



เขาขับรถออกไปสองครั้งเพื่อตามหามัน แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาพร้อมกับไม้กอล์ฟซึ่งปัจจุบันถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ Golf Association Museum แห่งสหรัฐฯ ส่วนลูกกอล์ฟสองลูกยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ตัวแทนของนักบินผู้จากไป

Fallen Astronaut คือหุ่นอะลูมิเนียมขนาด 3.3 นิ้วที่ออกแบบโดยศิลปินชาวเบลเยียม Paul Van Hoeydonck เพื่อระลึกถึงนักวิทยาศาสตร์และนักบินที่เสียชีวิตระหว่างภารกิจสำรวจอวกาศ อย่างไรก็ตามเขารู้สึกไม่พอใจในผลงานเท่าไหร่เพราะอยากให้หุ่นตั้งอย่างมั่นคงบนดวงจันทร์ แต่มันกลับล้มหน้าคว่ำอยู่ข้างๆ ป้ายไว้อาลัย

ชิ้นส่วนลาวาจากทะเลสาบในออริกอน

James Irwin นักบินอวกาศในโครงการอะพอลโล 15 ได้ทิ้งชิ้นส่วนของหินภูเขาไฟหรือลาวาที่แข็งตัวจากทะเลสาบปีศาจ (Devil’s Lake) ในรัฐออริกอน ไว้บนดวงจันทร์เพื่อให้เกียรติเพื่อนและสถานที่ที่เขาเคยใช้ในการฝึกฝนการเก็บชิ้นส่วนบนดวงจันทร์ และถ่ายภาพเก็บไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันอีกด้วย

ใบรับรองการจัดตั้งสมาคมศิษย์เก่า

นอกจากหินภูเขาไฟและหุ่นอะลูมิเนียมแล้ว ดูเหมือนว่านักบินอวกาศในโครงการอะพอลโล 15 จะมีเวลามากพอสำหรับโครงการอื่นๆ อีกมากมาย เพราะนักบินอวกาศ 3 คนได้แก่ David Scott, James Irwin และ Alfred Worden ซึ่งล้วนแต่เป็นศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้จัดตั้งสมาคมศิษย์เก่าพร้อมเขียนใบรับรองขึ้นบนดวงจันทร์

ภาพถ่ายจากโลก


ดูเหมือนว่าการถ่ายภาพบนดวงจันทร์จะธรรมดาเกินไปสำหรับนักบินอวกาศในโครงการอะพอลโล 16 Charles Duke จึงได้พกภาพถ่ายบนโลกไปวางไว้เป็นที่ระลึกบนดวงจันทร์แทนเผื่อว่ามนุษย์ต่างดาวจะมีโอกาสเดินทางผ่านมาเห็น

ภาพใบนั้นเป็นภาพของเขา ภรรยาชื่อโดโรธี และลูกชายสองคนคือชาร์ลส์และโทมัส ด้านหลังเขียนข้อความว่า “นี่คือภาพครอบครัวของนักบินอวกาศ Duke จากดาวโลก เดินทางถึงดวงจันทร์ในเดือนเมษายน 1972”

ภาพวาดของแอนดี วอร์ฮอล

นักบินอวกาศจากโครงการอะพอลโล 12 ในปี 1969 ได้จัดตั้ง “พิพิธภัณฑ์บนดวงจันทร์” และตกแต่งด้วยภาพวาดในแผ่นเซรามิกซึ่งเป็นผลงานของศิลปินชื่อดัง ได้แก่ Robert Rauschenberg, David Novros, John Chamberlain, Claes Oldenburg, Forrest Myers และ Andy Warhol

ข้อความจากผู้นำ

เมื่อครั้งที่นีล อาร์มสตรอง และบัซซ์ อัลดริน ได้จารึกประวัติศาสตร์ด้วยการเหยียบดวงจันทร์เป็นครั้งแรก หนึ่งในสิ่งที่พวกเขานำไปด้วยก็คือแผ่นดิสก์ซิลิคอนขนาด 1.5 นิ้ว ที่บันทึกข้อความของผู้นำจาก 75 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่6, อินทิรา คานธี, สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลายท่าน เช่น ประธานาธิบดีดไวต์ ไอเซนฮาวร์, จอห์น เอฟ. เคนเนดี, ลินดอน จอห์นสัน และริชาร์ด นิกสัน

ซึ่งแผ่นดิสก์แผ่นนี้ถูกออกแบบให้อยู่ยงคงกระพันในอวกาศนานนับพันๆ ปี

รายการบล็อกของฉัน